30.7.08

เบื้องหลัง ละคร ตำนาน จอมกษัตริย์ เทพสวรรค์

เบื้องหลัง ละคร ตำนาน จอมกษัตริย์ เทพสวรรค์
เมื่อ 21/04/2005 ใน J K dramas.com มีการเสนอข่าวว่า

เบ ยองจุน กำลังจะมีผลงานทางละครโทรทัศน์ เรื่องใหม่

เบ ยองจุน นักแสดงเกาหลีเจ้าของผลงานละครโด่งดังจาก เพลงรักในสายลมหนาว กำลังจะรับบทบาทการแสดงใหม่ในละครโทรทัศน์ “ Four legends of the great King “ หรือ “ Taewang sasingi” ซึ่งเป็นละครชีวประวัติบุคคลของกษัตริย์แห่งกวางแกโต เบ ยองจุน จะรับแสดงบท กษัตริย์ กวางแกโตในสมัยหนุ่ม ซึ่งมีชื่อว่า ทัมดัก บุคคลในประวัติศาสตร์เกาหลีซึ่งมีความสัมพันธ์ก่อเป็นรักสามเศร้ากับนางกำนัลชื่อ ซูจินี และกษัตริย์ อาชิน แห่ง แบคเจ
กษัตริย์ กวางแกโต เป็นบุคคลผู้พิชิตสงครามคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ถูกจารึกอยู่ในรัชสมัยสามอาณาจักรเท่านั้น ( 57 B.C.- A.D.688 ) แต่ตลอดจนเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศก็ว่าได้ ในช่วงที่เขาครองราชย์นั้นอาณาจักรของเขาไปจนถึงแมนจูเรีย ซึ่งปัจจุบันเป็นของสาธารณรัฐประชาชนจีน
“ผมรู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้ร่วมทำงานกับผู้กำกับ คิม จองฮัก และผู้เขียนบทอย่างคุณ ซงจีนา ผมตัดสินใจเล่นบทนี้เพราะมีทีมงานเบื้องหลัง เก่งๆ และละครเรื่องนี้เป็นละครมหากาพย์ที่มีพล็อตเรื่อง น่าสนใจอย่างมาก “ เบ ยองจุนกล่าว

ทางด้านผู้กำกับ คิมจองฮัก ได้กล่าวถึงการเลือก เบ ยองจุน มารับบทเป็น ทัมดัก เพราะภาพลักษณ์ของเขามีความสุภาพอ่อนโยน และดูมีเสน่ห์นั้น เหมาะสมกับลักษณะนิสัยของ ทัมดัก ก็ เหมือนกับ โมนาร์ช ผู้ ที่โอบกอดทุกสิ่งรอบข้างของเขาไปด้วยความอบอุ่นและในขณะเดียวกันก็เป็นบุคคลที่ มีเสน่ห์อย่างมาก
เบ ยองจุนจะเริ่มรับงานแสดงบท กษัตริย์ กวางแกโต หลังจากที่เขาเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่อง April Snow ใน เดือน มิถุนายน ที่จะถึงนี้
“ บทบาทนี้จะแตกต่างจากบท อื่น ๆ ที่ ผมเคยเล่นมา ในแง่ของบทบาทที่มีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์น่าดึงดูด ผมจะเตรียมตัวรับบทบาทนี้หลังจากที่เสร็จจากเรื่อง “ April Snow “ เบ ยองจุน กล่าว

สถานที่ถ่ายทำและนักแสดงของเรื่องนี้ยังคงอยู่ในการคัดเลือก ในการถ่ายทำ จะเริ่มขึ้นในเดือน ตุลาคม ที่จะถึงนี้ และจะออกฉายในปีหน้า อย่างไรก็ตามยังไม่ได้เป็นที่ตกลงกันว่าจะออกฉายที่โทรทัศน์ช่องใด

เบ ยองจุนได้รับการขนานนามให้เป็น “ Yonsama “ จากแฟนชาวญี่ปุ่น เขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทั่วเอเชีย จาก บทบาทในละครเกาหลีเรื่อง Winter Sonata
เรียบเรียงข่าวจาก KBS Global และ Korea time

ความเห็น ค่ะ.

1. สมัยสามอาณาจักร( 57 B.C.- A.D.688 )
ที่ใช้ 57 B.C- A.D 688 เล่าเองก็สงสัยเอง เพราะ 57 B.C ถือ เป็น ปี ที่เริ่มต้น การสถาปนา กษัตริย์ องค์ ที่ 1 ของอาณาจักรชิลลา ซึ่ง เป็น ชนเผ่า เก่าแก่ หลายเผ่ามาก่อนตั้งแต่ อาณาจักร โคโซซอนล่มสลายเพราะ ฮั่น และอาณาจักรชิลลา น่า จะ สืบต่อมาถึง 912 ( และ 935 นับต่อ มีกษัตริย์ อีก 4 พระองค์ ถึง ปี ค.ศ 935 ) แต่ ปี 57 B. C. ก็ ยังไม่เกิด อาณาจักร โคคุเรียว โคคุเรียว นับเริ่มต้น ที่ 37 BC ส่วน อาณาจักรแพคเจ ก็ เริ่มต้นที่ 18 BC. .

ส่วนปีท้าย 688 คงพิมพ์ผิดเสียมากกว่า อาณาจักรแพคเจ ล่มสลาย ใน 660 และอาณาจักรโคคุเรียว ในปี 668
2. ตัว ละคร ซูจินี ที่ บอกว่า เป็นนางกำนัล และเป็นรักสามเศร้า กับ กษัตริย์ อาชิน คงเป็นการ ปรับเปลี่ยน บท ละคร ไป เรื่อยๆ เพราะคุณ ซงจีนา ต้อง ปรับเปลี่ยน แก้ไข บท หลายครั้ง ครั้งแรก คู่แข่ง ของ ทัมดัก คือ กษัตริย์ อาชิน แห่ง แพคเจ มีข่าว ว่า จะให้ ซงอิลกุ๊ก พระเอก จูมง รับบทบาท ซึ่งเรื่องนี้ ซงอิลกุ๊ก เคยบอกว่า ไม่ได้ รับการติดต่อ จาก ผู้ กำกับ คม จอง ฮัก แต่ อย่างใด
3. กำหนด เริ่มต้นการถ่ายทำ การ ออก อากาศ ก็ เลื่อน ออกไปหมดค่ะ

ลองติดตาม อ่านไปเรื่อยๆ นะคะ จะพบว่า ละคร เรื่องนี้ กว่าจะได้ ออกมาสู่สายตา ผู้ชม อย่างยากลำบาก ขนาดไหน ค่ะ

ในวันที่ 22 เม.ย2005 Joon family ก็ post ข่าวนี้ Tae Wang SA Shin Gi The Story Of The Great King And Four Gods วันเดียว กับ BYJtogether โดย แหล่งที่มา เดียวกัน คือ Quilt

Producer : Kim Jong-hak (PD) , Song Ji Na ( Scriptwriter) , The Sandglass, Dae Mang ( A Great Ambition ) ,24 episodes.

ในรายละเอียด ก็บอกว่า เบยองจุน รับบท ทัมดัก หรือคือ กษัตริย์ กวางแกโต มหาราช กษัตริย์ องค์ ที่ 19 ของอาณาจักร โคคุเรียว เป็นช่วงเวลา ที่ ทัมดัก มีอำนาจมากที่สุดในเอเชีย ตะวันออก ( แม้แต่ ราชวงศ์ของจีน ก็ยังพ่ายแพ้ ต่อ โคคุเรียว) เมื่อ พระชนม์ 11 ก็ ได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท เมื่อ พระชนม์16 ก็ ครองราชย์เป็นกษัตริย์ ใน ปี 396 ทัมดักไปโจมตี แพคเจ ( ซึ่งเป็น อาณาจักร อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ของโคคุเรียว) และยึดครองบริเวณไปถึงด้านเหนือ ของแม่น้ำ ฮัน และ ทรงเอาชนะการรุกรานราชวงศ์ Yeon ของจีน ทำให้ Yeon พ่ายแพ้ หลังค.ศ.400 ทรงโจมตี ปราสาท ต่างๆ เป็น ร้อยปราสาท และหมู่บ้านต่างๆ เป็นพันหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม ทรงสวรรคต ในพระชนม์ 39 พรรษา

มีการกล่าวถึง กษัตริย์ จูมง ผู้ก่อตั้ง โคคุเรียว โดยมี เทพเจ้า ทั้งสี่ Cheong-ryong ( blue Dragon )n Baek-ho ( White Tiger ), Joo Jak (Phoenix ) , Hyeon-Mu ( Simbolized as a turtle ) แต่ในประเทศญี่ปุ่น จะรู้จัก เทพเจ้าเหล่านี้ คือ Seiryuu, Byakko, Suzaku and Genbu ต่อมา กษัตริย์จูมงอภิเษกสมรกับซอซอนโนที่มีบทบาทสำคัญ ในการก่อตั้งอาณาจักร โคคุเรียว มี โอรส 2 องค์ คือ ออนโจ และพีริว แต่เมื่อ โอรสของจูมง กับชายาคนแรก มาที่โคคุเรียว เพื่อตามหาพระบิดา และได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ซอซอนโน ก็พาโอรส ทั้ง 2 องค์ ไปทางทิศใต้ ตั้งอาณาจักร แพคเจ ดังนั้น โคคุเรียว และ แพคเจ จึงเป็น เมืองพี่ เมืองน้องกัน

วันเวลา ผ่านไป เทพเจ้าทั้งสี่ได้แยกตัวจากสังคม อยู่ อย่างสันโดษและเฝ้ามองดูความสัมพันธ์ของแพคเจและโคคุเรียวที่ค่อยๆเลวร้าย (และยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อกษัตริย์ของโคคุเรียวถูกปลงพระชนม์ในการต่อสู้ระหว่างแพคเจและโคคุเรียว)

ในคืนวันหนึ่ง Ju –ahn ฮยอนมู(เต่า) หนึ่งในเทพเจ้าทั้งสี่เห็นดาวสองดวงปรากฏบนท้องฟ้า และเพราะดวงหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากทางพระราชวังของแพคเจซึ่งเป็นดวงชะตาของการประสูติของ” “ SU “' ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามของกษัตริย์อาชิน ส่วนอีกดวงหนึ่งนั้นปรากฏขึ้นมาจากอาณาจักรโคคุเรียวอันเป็นดวงชะตาของการประสูติของ 'ทัมดัก' ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามของ กษัตริย์กวางแกโตมหาราช

เมื่อรู้ว่ามีเจ้านายองค์ใหม่ประสูติขึ้นบนโลกใบนี้ Ju -Ahn ซึ่งคอยอยู่บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของแมนจูเรียพร้อมกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งคือ ซูจินีเพื่อดูว่าใครในสองคนนี้จะเป็นนายของตน ซูจินีเป็นเด็กกำพร้าที่ Ju- ahn เลี้ยงดูมาและซูจินีก็ถือว่า Ju- Ahn เป็นพ่อของนาง

เรื่องราวของละครเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้าทั้งสี่ที่ตามหานาย กษัตริย์กวางแกโตมหาราชผู้ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ ซูจินีผู้หญิงผู้เป็นที่รักของกษัตริย์กวางแกโตมหาราชและซูจินีก็เป็นคนที่กษัตริย์อาชินผู้ไร้ความปราณีหลงรักด้วยเช่นกัน

ที่ นำมาเล่า เพื่อ ให้เห็นว่า พล๊อตของ เรื่อง จากการ มีข่าว ในปี 2005 แตกต่าง จาก ละคร ที่ถ่ายทำจริง และ ยังมีการปรับเปลี่ยน พล๊อตเรื่อง อีก ก่อน มีการออนแอร์ และละคร เรื่องนี้ มีอุปสรรค มากมาย

คราวที่แล้ว คนเล่า ตั้งต้นเล่าวันที่ผิดไปนิดนะคะ อันที่จริงข่าวคราวที่เป็นทางการของ เบ ยองจุน ในการรับแสดงละคร เรื่องใหม่ นี้ เป็น

วันที่ 18 /04/2005

ที่บริษัท เอเจนซี่ BOF ประกาศเป็นทางการ ว่า เบ ยองจุน จะรับ แสดงเป็น DAMDEOK ใน The great King Guanggaeto in the Great King four God Story ตามมาด้วยข่าวจาก BOF ในวันที่ 19/04/05 ว่า จะเริ่มถ่ายทำ ในเดือน ตุลาคม 2005 และมี 24 ตอน และ จะเป็น fantasy period drama and great ambition . ข่าวคราวของละคร เรื่องนี้ จะใช้ชื่อย่อว่า GKFG และต่อมา จะเรียกว่า TAEWANGSASHINGI ชื่อย่อ ว่า TWSSG แล้วก็กลายเป็น THE LEGEND อันเป็นชื่อ ภาษาอังกฤษ ที่จะใช้ ในการ ออนแอร์ ที่ประเทศ ญี่ปุ่น ( เมื่อการถ่ายทำใกล้แล้วเสร็จ มีกระแสข่าว ว่า ชาวญี่ปุ่น จะได้ชม ผลงานละคร เรื่องนี้ของ เบ ยองจุน พร้อม ๆ ชาว เกาหลี เราคนไทย กังวลกันว่า จะเลือกดู ละคร เรื่องนี้ ในเวลา REAL TIME ของการ ออนแอร์ เป็น ภาษาเกาหลี ดี หรือ ภาษา ญี่ปุ่น ดี ( แต่ ต้องเลือก ภาษาเกาหลี อยู่แล้วล่ะ ค่ะ ถึง ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ ขอ ฟัง เสียง จริงแท้ แน่นอน ของ เบ ยองจุน ไงคะ)

หลังจากมีข่าวในปี 2005 นั้น ครอบครัว เบ ยองจุน ก็ มัวแต่ไปสนใจ ติดตามข่าวคราวของ ภาพยนตร์ APRIL SNOW ลิขิตพิศวาส หรือ หิมะเดือนเมษา ของผู้กำกับ เฮอร์จินโฮ เมื่อ APS ( APRIL SNOW) ถ่ายทำเสร็จ และออกฉายที่เกาหลี ตามมาด้วย ข่าวคราว ASIA TOUR เพื่อโปรโมท ภาพยนตร์ เรื่องนี้ ครอบครัวBYJ ก็ ตื่นเต้นเป็นปลื้ม กับการตอบรับ ที่ ประเทศ ต่างๆ มีที่ประเทศไทย ที่ไม่ฮือฮา เหมือนที่อื่น ภาพยนตร์ ของเฮอร์จินโอ ผู้กำกับหลงฤดู ดูยากเข้าใจยากอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ บวกเพิ่มด้วยการพูดน้อยเข้าไปอีก แต่ถ้าตั้งใจจริงๆ ก็ต้อง ขอบอกว่า คนที่รัก เบ ยองจุน ต้องดูภาพยนตร์ เรื่องนี้นะคะ เพราะ พระเอก อินซู ในภาพยนตร์ มาจากเค้าโครงตัวตนของ เบ ยองจุน มี หลายฉาก ที่ ผู้กำกับบอกให้ เบ ยองจุน แสดงอารมณ์ ด้วยตนเอง แล้วก็ ข่าวการถ่ายภาพยนตร์และภาพต่างของ APS ตามมา มากมายจริงๆ ( เพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยชม บทบาท ของชายผู้ถูกคนรักทรยศหักหลัง รีบไปหามาดูนะคะ)

GKFG ต่อค่ะ

23/04/05

มีข่าวจาก sport today ว่า คิม เทฮี IS she a lover of yonsama.? ในบทบาทของ Joojaak KImtaehee’s BYJ lady,the likest for the role of Joojaak in GKFG story. Joojaak,the name mean red Chiness phoenix.

23/04/05

จาก QUILTDelinnia from the BYJ thread in soompi.com

Source: The New Sunday Times - Malaysia

Dated- September 5, 2004By Richard Lloyd Perry –The Times

Established in 37 AD, in what is, now northern Korea and southern Manchuria, the Koguryo period is regarded by Koreans as a golden age.

The ancient Koguryo kingdom was existed more than 1300 years ago and was defeated by its neighbours in 668AD.
ภาพ

It’s founding monarch, Chumong, was an archer and horseman with the apparent gift of walking on water. It’s greatest king, Kwang-gaeto established the present North Korean capital, Pyongyang. It produced distinguished scholars and Buddhist divines and its royal tombs, painted with exquisite murals, have been recognized as world heritage sites. The modern name of Korea ultimately derives from Koguryo.


Despite the fact that northern part of the old kingdom is now China, it was universally acknowledged as a Korean civilization.

1/07/05 จาก My Daily

มีข่าวว่า ซง อิลกุก พระเอกจากละคร จูมงมหาบุรุษกู้บัลลังก์ จะร่วมแสดงด้วยTranslated by Joanne Naeil posted this on the Talk Box of BYJ's official home.Song Ilkook is cast as a character opposite to BYJ in 'Great King Four God Story' [My Daily]7/1/05 06:30ซง อิลกุก จะเป็น ซู ผู้เย็นชาไร้ปราณี (ซึ่งต่อมา คือ กษัตริย์ อาชิน แห่งแพคเจ) และเป็นปรปักษ์กับทัมด๊ก ซึ่งต่อมา คือกษัติรย์ กวางแกโท แห่งโคคุเรียว ซึ่งมี เบ ยองจุน เป็นผู้รับบทบาท และทั้งคู่ยัง ต้องมาเป็นคู่แข่งด้านความรักกับซูจินี อีกด้วย

Kim Jonhak Production plans to begin full-scale shooting from September after completing casting for major characters including female lead Soojini character in this month. [Song Ilkook, known to be cas as an opposite character to BYJ in 'Great King Four Gods Story', Photo=My Daily Photo DB]การถ่ายทำ เลื่อนจาก ตุลาคม เป็น กันยายน

01/07/05 วันเดียวกัน จาก Joy News

Translated by JoanneKwon Ohkyeong posted this on the Talk Box of BYJ's official home.

Song Ilkook, "I did not say I will appear in 'Great King Four Gods Story'" [Joy News]7/1/05 15:35

เอเจนซี่ของซงอิลกุก ได้ปฎิเสธ ข่าวนี้Song Ilkook's agent who is staying in China at present told on a telephone conversation with Joy News on 1, announced like this and made strong statement, "Although we had meeting for about 2 times, it was only something like receiving script," and "we have not decided on it yet." On the other hand, an official at the Cheongam Entertainments, in charge of casting for this drama, also told, "Song Ilkook is just one among numerous actors who are listed in the candidacy," and "Nothing has been decided yet." He explained, "we had met to confirm Song Ilkook's coming schedule," and "however, there is nothing decided yet and we cannot say anything until the total outline of the casting would appear in 2 weeks."

17/05/05
มีข่าว ว่า Who will be Yonsama Lover ในข่าวของ Herald Bussiness

ผู้กำกับ คิมจองฮัก ประกาศว่า ผู้ที่จะแสดงเป็น ซูจินี จะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ และจะเป็นละครโศกเมื่อโชคชะตาทำให้เกิดเป็นความรักสามเศร้าของ กษัตริย์ กวางแกโท แห่งโคคุเรียว กษัตริย์ อาชิน แห่งแพคเจ และ ซูจินี

08/08/05

Kim Jonghak PD, "Why does he produce 'Great King Four Gods Story'?

[Herald SS news]8/8/05 15:26

The KIM Jonghak PD's reason for the production of the 'Great King Four Gods Story' stars from "Why we do not have heroes in our country?"ผู้กำกับ คิมจองฮัก กล่าวถึง บันทึกเหตุการณ์ ทางประวัติศาสตร์ ของสามอาณาจักร ความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์พระองค์นี้ ที่ขยายดินแดนไปที่แมนจูเรีย ทรงเข้าโจมตีปราสาทต่างๆ 16 ป้อมปราการเมื่อพระชนม์พียง 16 พรรษา โดยเฉพาะ ป้อมปราการ ควานมี ใน Pajoo, มณฑลKyeong-gi โดย ได้ เพิ่ม เทพนิยาย เกี่ยวกับเทพเจ้าทั้งสี่ คือ มังกรน้ำเงิน เสือขาว ฟินิกซ์ และ เต่าดำ และเทพเจ้าทั้งสี่ ที่ปรากฏตัวเป็น มนุษย์คิมจองฮัก กล่าวถึง Gando จีน และญี่ปุ่น ด้วยและจะแสดงความแตกต่างการเข้ายึดครองดินแดน ของ กษัตริย์ กวางแกโท มหาราช กับ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราช

(และคำสัมภาษณ์ ใน DVD preview คิมจองฮัก กล่าวว่า เขาต้องการให้ละครเรื่องนี้ to raise up the spirit of pioneer of challenge to growing young generation อีกด้วย)

02/01/06

[Sports Hankook]1/2/06 07:36

Moon Sori, chosen as 'Yon-sama's woman'และชื่อเรื่อง ที่ใช้ในการให้ข่าว จะเปลี่ยนเป็น 'Tae Wang Sa Shin Gi'มุนโชริ จะแสดงเป็น โซคีฮารายชื่อนักแสดง นอก จาก BYJ ก็มี CHUNG JINYONG , CHOI MINSOO และ มุนโชริ

The Seokiha character,which Moon Sori is to act, is a woman who is fated to become strong due to love that was unattainable. That woman, a descendent of Tiger Women Tribe, who remained as tiger, being different from the bear which became a woman going through period of patience & suffering in Tangun Mythology, was born with fate in which he cannot help but to give in the position of King's woman to Bear Women Tribe. She is a woman with tragic love, who could not win love from Great King Kwang-gae-to (BYJ) and became a figure who confront him in the end.

04/01/06

From BYJ's Quilt - Translated by Joanne

Tigger mom posted this on the Talk Box of BYJ's official home.

พูดถึงการเตรียมตัวของ เบ ยองจุน ที่กำลังฝึก การขี่ม้า การใช้อาวุธบนหลังม้า การต่อสู้ต่างๆ และกล่าวถึงดาราที่จะเข้าร่วม. Chung Jinyoung, Moon Sori, & Choi Minsoo, .

21/01/06
From BYJ's Quilt - Translated by JoanneKwon Ohkyeong posted this on the Talk Box of BYJ's official home.

38.7 billion (won) blockbuster drama 'Tae Wang Sa Shin Gi' begins first shooting in the end of February[Star News]1/20/06 09:13

Mr. Park Changshick, a board director for production at the Kim Jonghak Production told

มีการประมาณการ ค่าถ่ายทำสำหรับละครเรื่องนี้

เป็นค่าก่อสร้าง ที่เกาะ เชจู 13 พันล้านวอน (ประมาณ $13 M )เ

ป็นค่าการถ่ายทำ 25.7 พันล้านวอน ( $ 26 M )

นอกจากนี้สถานที่ถ่ายทำ นอกเกาะเชจู จะเป็นบริเวณที่เคย มีการถ่ายทำ'Seo Dong Yo', 'Sea God', and 'Joomong'. ''
and it is scheduled to be aired in various nations in the world including Korea after coming December.

ในระหว่าง นั้น ครอบครัวยงจุน ก็ กระวนกระวายใจ ที่ เบ ยงจุน ไม่มีข่าวของตนเอง ให้ พวกเราได้ติดตาม ที่แท้ เบ ยองจุน กำลังวุ่นวาย กับธุรกิจ ร้านอาหารแห่ง คือ การเปิด Café โดยเปิด soft openingใน วันที่ 27 มีนาคม 2006 ที่ Shibuya ใน ญี่ปุ่น มีโซจิซบ เป็นหุ้นส่วน ( ขณะที่เล่านี้ Café B ก็ปิดกิจการแล้วเมื่อ 13/02/08) และยงจุน ก็ เตรียมการเปิด ภัตตาคาร Gorilla in the Kitchen ที่ Dosan Park in ShinsaDong ในกรุงโซล อีกแห่งด้วย

15/03/06
มีข่าว ว่า GKFG จะเปิดกล้อง ในวันที่ 16/03/06 ซึ่งในปี2005 กำหนดเวลาการเริ่มถ่ายทำ เป็น ตุลาคม 2005 แล้วก็เลื่อนเป็น กันยายน 2005

16 มีนาคม2006

จะมีพิธีเปิดกล้องละครเรื่องใหม่ของยงจุนที่เกาะเชจู...แต่เป็นพิธีแบบภายในไม่ได้เปิดให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวเหมือนตอน April Snow เมื่อคราว เปิดกล้อง April Snow ทั้งสิ่ออมวลชน ทั้ง ครอบครัวยงจุน มากมายจริง รถ บัส นำเที่ยว จอดเรียงรายเป็น แถว นับไม่ถูก เพราะภาพ ที่เห็น เก็บภาพ มาไม่หมดนั่นเอง


16/03/06
ครอบครัว ชาวญี่ปุ่น 400 คน ไปรอรับ เบ ยองจุน ที่สนามบินเกาะเชจู( คนญี่ปุ่นบินจากญี่ปุ่น ไปรอรับ เบ ยองจุน ที่ บิน ภายในประเทศตัวเอง ไม่แปลกอะไร กลับเป็นเรื่องธรรมดาของครอบครัว ยงจุน)

[Press Release] 'Tae Wang Sa Shin Gi' begins first shooting along with well-wishing ceremony(Gosa)!! BOF3/16/06

จำกันได้ไหม คะว่า ใครเป็นใครกันในภาพ

Much talked about drama which will write history of Korean dramas anew'Tae Wang Sa Shin Gi' begins first shooting along with well-wishing ceremony(Gosa)!!

Beginning with the Gosa on march 16 at the open set in Jeju,with the Gosa on march 16 at the open set in Jeju,it will enter great journey of shooting lasting for 10 months1

The 'Tae Wang Sa Shin Gi' , the best talked about drama which will write history of Korean dramas anew, entered full-scale shooting after holding Gosa ceremony praying for safe shooting and wishing for the success of the production in Jeju on March 16(Thrusday).

At the site of Gosa in this time, all the staff including Director Kim Jonghak & writer Song Jina, and all the major actors including leading actor BYJ, Choi Minsoo, Park Sangwon, Park Sangmyeon, Yoon Taeyoung, Lee Dahee, attended and glorify the occasion while praying and wishing for the success of the drama.

พิธี Gosa ก็เป็นการเซ่นไหว้ ในการเปิดกล้องเหมือน ที่บ้านเรา ของที่เซ่นไหว้ ก็คล้ายๆ กัน

16/03/06
From BYJ's Quilt - Translated by Joanne

Kwon Ohkyeong posted this on the Talk Box of BYJ's official home.

'Tae Wang Sa Shin Gi'. 'Sand Glass' team united again[Star News]3/16/06 15:50 In the 'Tae Wang Sa Shin Gi' depicting biography of Great King Kwang gae-to(Production-Kim Jonghak Production & Cheongam Entertainment), team of the 'Sand Glass', which recorded amazing viewing rate at 64.2 % in 1995, became united again.Following Kim Jonghak PD, who directed the 'Sand Glass' directs in a long time, first, writer Song Gina, having written the script, joined hands with Kim PD again.

Also, Choi Minsoo and Park Sangwon, who played Taesoo and Wooseok, 2 male lead actors in the 'Sand Glass' support. Choi Minsoo takes a character of an elder of Daehwajeonwhoi, a God in the middle continent(Manchuria?) who would help the Great King Kwang-gae to, and Park Sangwon takes a character of Yeon Garyeo, father to Yeon Hogae(Actec by Yoon Taeyoung), who is a rival suiter in love as well as rival to the Great King Kwang-gae to.

Yeon Garyeo is a person who tries to destroy the Great King Kwang-gae-to with the enormous power of China on his back, and it was initially decided to be played by Choi Minsoo. However, then exchanged the character due to judgement that Park Sangwon suit

ในปี 2006 บทบาท ของ ชอยมินซู ที่วางไว้ จะไม่เหมือน กับ แทจังโร จอมขมังเวทย์ แห่ง ฮวาเชิน ในละครที่เราได้ชมกัน

แต่ ที่ ฮือฮา ตามมาก็คือ เบ ยองจุน ดู น้ำหนัก มากเกินปกติ แล้ว BOF ก็ มีเสียงโทรศัพท์ ตลอดเวลา เพราะ เรื่อง น.น.ของ เบ ยองจุน

'Yon-sama gained weight' BYJ is undergoing transformation![Gonews]3/17/06 09:40

BYJ who attended the Gosa and first shooting of the drama 'Tae Wang Sa Shin Gi' on 16 had his hair grow and his face looks better that before. Regarding this, staff at his management agency told, 'Since the film 'Oe Chool' while preparing the 'Tae Wang Sa Shin Gi' , BYJ has gained weight by about 4~5 Kg,' and 'While shooting a new drama, he will build his body again.

BYJ will appear on GKFG in his usual weight
A while ago in a phone call interview, BYJ said about his physical training, 'it takes time and it's hard, but I'm enjoying it. I'm getting weight now, and later I will reduce weight by diet and exercise, to shape up 100%.'

หลังจากนั้น ก็จะมีข่าว เบ ยองจุน ไปดู การตกแต่ง ภัตตาคาร Gorilla ซึ่ง เบ ยองจุน จะรวบผมเป็นหางม้า
แล้ว ก็มีข่าวว่า ในวันที่ 21/04/06 จะทำการเปิด ภัตตาคารGorilla ในวันที่ 19/04/05 มีข่าวว่าเบ ยองจุนไปงานเปิดภัตตาคารไม่ได้

BYJ, seems not to attend the opening of 'Gorilla in the Kitchen' on 21

[Goodday]4/19/06 17:26


…………..BYJ told on a telephone conversation on 19 that 'Not only because I am busy with practice on martial arts and physical training for the drama at present, but I also have another schedule on 21 already, It will be difficult for me to attend.'

………………………….

.Mr. Lim Jongpil, trainer, told, 'Now basic body has been completed. First, he is maintaining his weight at around 80-Kg which is a little bit more than ordinary time. Because he cannot always maintain the top physical condition, he will appear in his regular weight when he shoot scenes showing his muscles after the shooting schedule is set.'

แต่ลองอ่านข่าวความรักของครอบครัว BYJ ในคืนก่อนวันที่ 21/04/06 ดังนี้

Japanese tourists stayed up all night in front of BYJ restaurant which awaits opening

[Sports Korea]4/21/06

Those people told, 'We are happy even though we are up throughout night because we can watch the birth scene of Yon-sama restaurant in actual site,' and said in unison, 'We would like to go back after feeling Yon-sama's warm heart in this restaurant.'

ทั้งที่กำหนดเวลาการเปิดภัตตาคาร คือ 11 AM และมี โซจิซบ มาร่วมงาน
ตามมาด้วยข่าวในเดือน 20/05/06 ว่า เบ ยองจุน เตรียมเปิด ภัตตาคาร ที่ ญี่ปุ่น อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือ โกชิเร นั่นเอง

Mar 17 2006, 01:44
AMTV station:MBC
Producer: Kim Jong Hak
Writer: Song Ji Na
Music Director: Joe Hisaishi
……………………………………………..

ตั้งใจ ตัดข้อความอื่นออก เพราะต้องการเน้น Music Director ว่าคือ Joe HisaishiAs for the music director,

I guess many of you would have read earlier news that he's responsible for the music in the highly rated animation movie, HOWL. TiffanyFrom The Great King and The Four Gods Website http://taewang.gazio.com/

june 28 2006, 09:30 AM rosebaba

เล่าขาน ตำนานชนชาติเกาหลี ตอนที่ 3..by..Amornbyj...


ขอเพิ่มเติม เกี่ยวกับอาณาจักร โบราณของเกาหลี
มาอ่านพบว่า พระอนุชา ของ กษัตริย์ แทโช ( Daeso ) แห่ง โดงบูยอ (Dongbuyeo) คู่ปรับ ของกษัติรย์ จูมง ชื่อ Galsa ไปตั้ง Later Buyeo ในปี ค.ศ.21 สืบสันตติวงศ์ได้ 10 พระองค์ ก็ถูก ผนวก เป็น แผ่นดินของ โคคุเรียว ใน ปี ค.ศ 494 ( กษัตริย์ Buyeo ชื่อ Jan)

ย้อนกลับไปที่ โคคุริออ (โคคุเรียว )

เมื่อกษัตริย์ องค์ ที่ 3 สิ้นพระชนม์

กษัตริย์องค์ ที่ 4 Minjung (44 CE-48 CE )
กลับเป็นพระโอรส องค์ ที่ ห้า ของ กษัตริย์ Yuri เนื่องจากรัชทายาท โอรส ของ กษัตริย์ องค์ ที่ สาม ยังอยู่ในวัยแรกรุ่นชันษาเกินไป พระเจ้าอา Minjung จึงขึ้นเป็นกษัตริย์ ก่อน กษัตริย์ Minjung ไม่โปรดการทำสงคราม ดังเช่น สาม รัชกาล ก่อน เมื่อพระองค์ ครองราชย์ ทรงพยายามหลีกเลี่ยง การนำทหาร เพื่อการสู้รบ และทรงครองราชย์สมบัติ เพียง 5ปี (44 CE -48 CE )ในปี ที่ 2 ที่ครองราชย์ ได้เกิด อุทกภัย ที่ มณฑลภาคตะวันออก กษัตริย์ Minjing ทรงให้เปิดท้องพระคลัง แบ่งสรร อาหาร ออกมาแจกจ่าย อย่างเสมอหน้ากัน แต่ทรงมีพระชนม์ ไม่ยืนยาว ทรงประชวรและสิ้นพระชนม์ ( พออ่านพระนิสัยของ กษัตริย์ องค์ ที่ห้า Mobon ก็รู้สึกสงสัยในใจตัวเอง ว่า คงโดน ยาพิษหรือเปล่าหนอสงสัยแบบนี้ บาปกรรม บาปกรรม ถ้าไม่จริง)
พระโอรส องค์ โต ของ กษัตริย์ องค์ที่สาม Daemusin พระนามว่า Mobon ขึ้นครองราชย์ เป็น

กษัตริย์ องค์ ที่ 5 (48 CE- 53 CE)
ในปี 49 CE กษัตริย์ Mobon ไป โจมตีราชวงศ์ ฮั่น หลายครั้ง ในภายหลังมีการทำสนธิ สัญญา ระหว่างกัน Mobon ทรงดุร้าย ดื้อดึง และเหมือนว่า ประชาชน จะไม่ค่อยรักกษัตริย์ พระองค์ นี้

แปลก ที่ กษัตริย์ Yuri ทรงใช้ สกุล ของพระองค์ เองว่า Hae เป็น Hae yuri และพระโอรส Daemusin ซึ่งมีพระนามเดิมว่า Muhyul ก็ใช้ Hae Muhul (กษัตริย์ องค์ ที่ 3 ) กษัตริย์ องค์ที่ 4 Minjung ก็ ใช้ Hae Saek-Ju กษัตริย์ องค์ ที่ 5 Mobon ก็ใช้ Hae U ขอแทรก ทำความเข้าใจ กับคำว่า Hae และ Go
Buyeo

Buyeo (c.239-494 CE) ruled in modern-day Manchuria. The rulers continued to use the titles of Dangun[3]. Some records refer to Bukbuyeo (North Buyeo) and Dongbuyeo (East Buyeo). It was absorbed into Goguryeo.
See also: List of legendary monarchs of Korea
1. Haemosu of Buyeo 해모수 (239-195 BCE)
2. Mosuri of Buyeo 모수리 (195-170 BCE)
3. Go Haesa of Buyeo 고해사 (170-121 BCE)
4. Go Uru of Buyeo 고우루 (121-86 BCE)

[edit] Bukbuyeo
See also: List of legendary monarchs of Korea
(c.108 BCE–c.58 BCE)
1. Go Dumak of Bukbuyeo 고두막 (108-60 BCE)
2. Go Museo of Bukbuyeo 고무수 (60-58 BCE)
( ความเห็นค่ะ คนเล่า คืดว่า Go Jumong น่าจะสืบต่อ มาจาก Go Museo องค์ นี้ แต่ ทำไมในละคร และอีกหลายที่สื่อว่า จูมง เป็นสายเลือด แฮมูซู แต่ ก็อ่านเจอว่า แฮมูซู มีวงเล็บ ว่า โอรสสวรรค์ เล่าเอง งง เอง ค่ะ แล้วก็มา งง หนักเข้าไปอีก ที่ องค์ชาย ยูริ และพระโอรส พระนัดดา ใช้ HAE ขึ้นต้นชื่อค่ะ ผู้รู้ ช่วยไขข้อข้องใจหน่อยค่ะ เด็กสายวิทย์ อ่อน ภาษา แต่อวดดี เอาเรื่อง ไม่รู้จริงมาเล่า ไม่ถือว่าเล่า แล้วกัน นะคะ ถิอเสียว่า เอาข้อมูล ที่ ไปเจอมาจากแหล่งต่าง ๆมาสื่อสารกันต่อ คนเล่า สุดปัญญา เอาความรู้ ที่เคย ร่ำเรียนมา คือ วิชา DATA PROCESSING มาใช้ วิชา นี้ ใช้ศาสตร์ ที่ประกอบด้วยสูตรคำนวณ ยาวเหยียด มา ประมวลผลน่ะค่ะ แต่ เรื่องเล่า แบบนี้ต้องใช้ ศาสตร์ ที่เป็นศิลป มาประมวล เมื่อประมวลผลไม่ได้ ก็ต้องทิ้งค้างข้อความ ที่สงสัยน่ะค่ะ เช่น Haemosu และ Go Museo เป็นต้น นะคะ)

[edit] Dongbuyeo

(c.86 BCE–22 CE) The rulers of Dongbuyeo submitted to Bukbuyeo in 86 BC, and thus used the title Wang ("King").
1. Hae Buru of Dongbuyeo 해부루왕 解夫婁王 (86-48 BCE)
2. Geumwa of Dongbuyeo 금와왕 金蛙王 (48-7 BCE)
3. Daeso of Dongbuyeo 대소왕 臺素王 (7 BCE - 22 CE)

มาถึงกษัตริย์ องค์ ที่ 6. Taejo ( 53 CE- 146 CE)
ที่เปลี่ยนกลับมาใช้สกุล Go หรือ Ko เหมือนกษัตริย์ จูมง Go Jumong ( คนเล่าก็งง เพราะลอกเขามานี่นา) Taejo เป็นพระนัดดา ของ กษัตริย์ ยูริ เป็นโอรส ของ Jaesa ขึ้นครองราชย์สมบัติ หลัง เกิดการลอบปลงพระชนม์ กษัตริย์ Mobon ( Mobon คงร้าย มากๆ) กษัตริย์ Taejo อยู่ในราชสมบัติ 94 ปี และเป็น Taejo the great เสียด้วย ( กษัตริย์ Mobon มี พระโอรส IK และเป็นรัชทายาท แต่ไม่ได้ครองราชย์ ) หลัง Mobon สิ้นพระชนม์ สภา เสนาบดี ๆได้เสนอแต่งตั้ง Jaesa ขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ Jaesa ปฏิเสธราชบัลลังก์ ราชบัลลังก์ จึงเป็นของพระโอรส GUNG ชันษา เพียง 7 พรรษา ภายหลัง Gung ทรงเป็นกษัตริย์ Taejo โดยมี พระราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการให้กับกษัตริย์ ที่ทรงพระเยาว์ ( งง ว่า ราชินีของใคร คือ พระมารดา ของ Taejo ซึ่งมา จาก บูยอ และถือว่า เป็น ราชินี เพราะ สภา มีการเสนอแต่งตั้ง Jaesa เป็น กษัตริย์ หรือเปล่า หรือราชินีของกษัตริย์เก่า) ไม่บอกว่า Jaesa เป็นพระโอรส องค์ ที่ 4 ของ กษัตริย์ ยูริ ( คนเล่า ลอง ไล่ลำดับดู ว่า น่าเป็น องค์ ที่ 4 น่ะค่ะ) และ ราชวงศ์ Go หรือ Ko ก็เริ่มเข้าสู่วังวน ของศึกสายเลือด แย่งชิงความเป็นใหญ่ เหมือน ราชวงศ์ กษัตริย์ ประเทศต่างๆ ที่เริ่มมาจาก มีการลอบปลงพระชนม์ Mobon กษัตริย์ องค์ ที่ 5

ใน ปี ที่ 94 ของรัชสมัย Taejo พระอนุชา Suseong

ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ องค์ ที่ 7 ทรงพระนามว่า Chadae ( 146 CE – 165 CE )
Chasae ทรงฆ่า พระโอรส ของกษัตริย์ Taejo ทั้ง 2 พระองค์ และยังฆ่า ทั้งพระเชษฐา กษัตริย์ Taejo และพระเชษฐา ซึ่งคั่นระหว่าง กษัตริย์ Taejo และกษัตริย์ Chadae เอง ในปี 165 CE รวมอีก 2 พระองค์
กษัตริย์ Taejo ทรงสวรรคตด้วยพระชนม์ 119 พรรษา อยู่ในราชสมบัติ 94 ปี (แสดงว่าทรงเป็น กษัตริย์เมื่อพระชนม์ 25 พรรษา ) กลายเป็นว่า ทรงมีพระชนม์ ยืนยาว กว่า กษัตริย์ จางซู เสียอีก โสมเกาหลีคงทำให้ อายุยืนจริงๆ

กษัตริย์ องค์ ที่ 8 Sindae ( 165 CE-179 CE)
บ้างก็ว่า ทรงเป็น โอรส ของ Jaesa คั่นระหว่าง กษัตริย์ Taejo และ กษัตริย์ Chadae บ้างก็ว่า เป็น โอรส ของ Taejo บ้างก็ว่าเป็นโอรสของ Chadae บ้างก็ ว่า Sindae เป็นผู้ปลงพระชนม์ Taejo และ Chadae ทรงขึ้นครองราชย์ เมื่อ พระชนม์ 77 พรรษา สวรรคต เมื่อพระชนม์ 91 พรรษา
ไม่แปลก อะไร กับ ศึกสายเลือด เช่นนี้ มีทุกชาติ ทุกศาสนา ทีเดียว โคคุเรียว แท้ๆ ยังมีศึกสายเลือด หลังสถาปนา อาณาจักร เพียง ไม่ถึง 100 ปี กษัตริย์ ถูกลอบปลงพระชนม์

ที่หาเรื่องมาเล่า ถึงองค์ ที่ 8 เพื่อ ค่อยๆ สื่อว่า ราชวงศ์ โคคุเรียว ก็ไม่รอดพ้น วังวน ศึกสายเลือด ดังนั้น ที่กาลต่อมา ทั้ง โคคุเรียว และ แพคเจ เมืองพี่ เมืองน้อง ต้องมา ราวี รบราฆ่าฟัน แผ่อำนาจเข้าหากัน ก็ เป็นเรื่อง ธรรมดา หากเพื่อนๆ ติดตามละครเรื่อง ซอยองโด ( อาณาจักร แพคเจ ) และ แดจังกึม ( อาณาจักรโซซอน ก็คงได้เห็นเช่นกัน)

และ มีราชินี ของกษัตริย์ องค์ ที่ 9 Gogukcheon (179 CE-197 CE ) ก็ ทรง เป็นราชินี ของกษัตริย์ องค์ ที่ 10 ด้วย

กษัตริย์ องค์ ที่ 10 Sansang (197CE -227 CE )
ซึ่งเป็นพระอนุชาของกษัตริย์ องค์ ที่ 9 กษัตริย์องค์ ที่9 นี้ ทรงมีราชินี ที่มีอำนาจทางการเมือง ชื่อ Lady U และเป็น Queen U กษัตริย์ องค์ ที่ 9 ไม่ทรงมี ทายาท (กษัตริย์ องค์ ที่ 9-10 เป็น พระโอรส ของกษัตริย์ องค์ ที่ 8 ) ที่แปลกกว่านั้น กษัตริย์ องค์ ที่ 10 ทรง มี Second Queen และ Second Queen นี้ มีพระโอรส ได้ เป็นรัชทายาท และสืบราชสมบัติเป็น

กษัตริย์ องค์ ที่ 11 Dongcheon ( 227 CE – 248 CE )
( ที่ Queen U ซึ่งมีอำนาจ ยินยอม ให้ มี Second Queen คงจะเพื่อ การมี รัชทายาท หรือเปล่าหนอ หรือไม่ทรงยินยอม แต่ไม่มีกล่าวถึงเรื่องนี้ )
เว่ย ส่งทหาร มารุกราน โคคุเรียว 1หมื่นนาย ยึดเมืองหลวง ของ ฮวันโด ได้ กษัตริย์ Dongcheon ให้ย้าย เมืองหลวง ไปอยู่ เปียงยาง ชั่วคราว และเรียกคืนดินแดนที่เสียไป คืนมาได้

กษัตริย์ องค์ ที่ 12 Jungcheon ( 248 CE -270 CE )
เป็น พระโอรส กษัตริย์ องค์ ที่ 11 ในราชสำนักวุ่นวาย พระอนุชา 2 องค์ ทรยศ และถูกประหารชีวิต พระราชินี Lady Yeon จาก Yeonna –bu จับ Lady Gwanna ถ่วงน้ำ ในทะเลเหลือง ด้วยความริษยา หึงหวง และมีการสงคราม กับ เว่ย (คงเป็นแคว้น ยันนา และกวานนา ที่ในละครจูมงกล่าวถึง 5 เผ่าของโชบน มังนะคะ 5 เผ่า ของละคร จูมง ประกอบด้วย เครุ บีเรียว ฮวานนา กวานนา และยันนา)

กษัตริย์ องค์ ที่ 13 Seocheon ( 270 CE -292 CE )
พระโอรส องค์ ที่ 2 ของกษัตริย์ องค์ ที่ 12 มีการรุกรานจาก ชาว Sushen ในปี 280 ทรงให้พระอนุชา Dal-ga ออกไปขับไล่ และได้รับชัยชนะ และได้ย้าย ชาว Sushen ไปอยู่ ที่ ทางใต้ของ บูยอ ทรงแต่งตั้งให้ พระอนุชาองค์ นี้ เป็น the Prince of National Peace (Prince An- guk ) และให้คอยควบคุม ศัตรูเหล่านั้น
มีพระอนุชา อีก 2 พระองค์ Go ll-u และ Go So –bal ก่อการจลาจล ต่อต้านพระองค์ ในปี ค.ศ. 286 พระอนุชา ทั้ง สอง ถูกฆ่าตาย

ขอข้ามเลยมา ถึง การเริ่มความขัดแย้งกับ อาณาจักร แพคเจ ในเมื่อ โคคุเรียว แท้ๆ ยังมีศึกสายเลือด แล้วแพคเจ จะไม่เกิด ศึกชิงความเป็นใหญ่ ได้อย่างไร หลังสถาปนา อาณาจักร เพียง 300 ปี
ในปี ค.ศ. 286 ทาง ด้านของแพคเจ ตรงกับกษัตริย์ องค์ ที่ 9 Chaekgye มีมเหสี ชื่อ Bongwa เป็น ธิดาของเจ้าเมือง Daifang ทางโคคุเรียว ก็ คือ Seocheon ทางโคคุเรียว ไปโจมตี Daifang แพคเจ ต้องส่งกองกำลังทหารไปช่วย Daifang
ต่อมา กษัตริย์ องค์ ที่ 14 ของโคคุเรียว Bongsang โอรสของ Secheon ขึ้นครองราชย์เป็น

กษัตริย์องค์ ที่ 14 Bongsang (292 CE -300 CE )
พระโอรส องค์โต ของ กษัตริย์ องค์ ที่ 13 เมื่อขึ้นครองบัลลังก์ ทรงหาเหตุ กับพระเจ้าอา Dal –ga ว่าเป็นกบฏ และทรงประหาร ประชาชน สับสนไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงนี้ นอกจากนี้ยังบีบบังคับ พระอนุชา Go Dol –go ให้ ฆ่า ตัวตาย โอรสของพระอนุชา Go Dol –go ต้องหลบหนี เพื่อรักษาชีวิต ในปี 296 มี Murong Hui มารุกรานอีก และถูกขับไล่ออกไป Bongsang เป็นกษัตริย์ ที่ไม่ ฟังการทักท้วงของเสนาบดี และไม่เห็นแก่ ราษฎร ภายหลัง กษัตริย์ Bongsang และพระโอรส 2 องค์ ก็ถูกบีบบังคับให้ฆ่าตัวตาย และเชิญ พระโอรสของ Go Dol-go ขึ้นครองราชย์ เป็น

กษัตริย์ องค์ ที่ 15 Micheon ( 300 CE -331 CE)
ทรงใช้พระชนม์ หลบหนี ซ่อนตัวจากกษัตริย์ องค์ ที่ 14 จนได้ครองราชย์ ทรงเป็นกษัตริย์ นักรบ มีการทำศึก หลายครั้ง มีการผนวกดินแดนเพิ่ม
Micheon continuously developed the Goguryeo army into a very powerful force. During the disintegration of China's Jin Dynasty, he expanded Goguryeo's borders into the Liaodong Peninsula and Chinese commanderies. His first military campaign was in 302, against the Xuantu Commandery. He annexed the Lelang commandery in 313 and Daifang commandery in 314 after attacked Seoanpyeong in Liaodong.
In his reign, Goguryeo was faced with growing Xianbei influence in the west, particularly Murong Bu incursions into Liaodong. Micheon allied with other Xianbei tribes against the Murongbu, but their attack was unsuccessful. In 319, the Goguryeo general Yeo Noja was taken captive by the Murongbu. Throughout this period, Goguryeo and the Murongbu attacked each other's positions in Liaodong, but neither was able to gain a lasting victory.
Micheon died and was buried in 331 at Micheon-won. Twelve years later in the reign of King Gogugwon, his remains were dug up by the Former Yan invaders, and held for ransom.

กษัตริย์ องค์ ที่ 16 Gogugwon ( 331 CE – 371 CE )
โอรส ของกษัตริย์ Micheon Yan ได้มาโจม ตี และ พา ราชินี พระสนม และเชื้อพระวงศ์ ไปเป็นตัวประกัน ที่ Yan และเป็นอีกครั้งที่ย้ายเมืองหลวงชั่วคราว ไป เปียงยางอีก
He ruled at a time when the kingdom was quite weak, and had an ill-fated reign. He sent tribute to the Xianbei state of Former Yan after they invaded the capital in 342 and held the queen and royal concubines captive, in order to secure the return the corpse of King Micheon.
The capital was temporarily moved to Pyongyang, present-day capital of North Korea. In response to the expansion of the southern Korean kingdom Baekje, Gogugwon led an unsuccessful attack in 369. Baekje's king Geunchogo invaded in 371 and Geunchogo's son Geungusu killed Gogugwon in battle at Pyongyang Castle. He was buried in Gogugwon

ในปี ค.ศ. 369 ตรง กับสมัยกษัตริย์ แพคเจ ที่ 13 Geunchogo เป็นกษัตริย์ ที่เข้มแข็ง ได้ ผนวก ดินแดน ของเผ่า Mahan ( ชนเผ่า Mahan นี้มีความสำคัญ เกี่ยวกับอาณาจักร ชิลลา) รวมทั้ง กายา ก็เป็นเมืองขึ้น ของแพคเจ และยังได้ส่งทหารมาโจมตี โคคุเรียว ใน ปี ค.ศ.371 แพคเจ นำทหาร 3 หมื่นนาย นำโดย รัชทายาท GeunchogoZ (ต่อมา เป็นกษัตริย์ องค์ที่ 14 ของ แพคเจ) เป็นผู้สังหาร กษัตริย์ Gogugwon พระอัยกา (ปู่) ของ ทัมด๊ก ค่ะ ที่ ปราสาท เปียงยาง (และนี่คือ สาเหตุ ที่ในละครตำนาน จอมกษัตริย์เทพสวรรค์ ยอนโฮแก ใช้เป็นเหตุผล อ้างกับ ทัมด๊ก ที่รักษาการกษัตริย์ โคคุเรียว ในขณะนั้น ยกทหารอสาสาสมัคร ของตระกูล ยอน 4 หมื่นนาย ไปโจมตี แพคเจ )( และกษัตริย์ องค์ ที่ 14 ของแพคเจนี้ มีราชินี Lady Ai เป็น ธิดา ของ Jin Godo เสนาบดีใหญ่ ของราชวงศ์ JIN ( Eastern Jin Dynasty – ก็น่าจะหมายถึงราชวงศ์จิ้น ของจีน ซึ่ง มีทั้ง ราชวงศ์จิ้นตะวันออก ที่อพยพ โยกย้ายราชธานี ของราชสำนักจิ้น ตะวันตก ที่ล่มสลายลง ราชวงศ์จิ้น อยู่ในระหว่าง ปี ค.ศ.317-420 ราชวงศ์จิ้นนี้ เกิด ปลายยุค สามก๊กของจีน ในราชวงศ์ ฮั่น สับสน ดีจริงๆ ) นอกจากนี้ แพคเจ สมัยกษัตริย์ ที่ 13-14 ของแพคเจ นี้ ยังเป็น พันธมิตร ที่ดี ของ Wa kingdom of Yamato period Japan ด้วย.

กษัตริย์ องค์ที่ 17 ของโคคุเรียว Sosurim
พระโอรสของกษัตริย์ Gogugwon ( 371CE-384 CE)
ในปี ค.ศ. 372 ศาสนาพุทธ ได้เข้ามาในโคคุเรียว และทรงรับไว้ มีการสร้างวัด ให้พระสงฆ์ ที่เข้ามาในราชอาณาจักรและ
Also in 372, he also established the Confucian institutions of Taehak (태학, 太學) to educate the children of the nobility. In 373, he promulgated a code of laws called (율령, 律令), centrally codifying regional customs and acting as the national constitution.
In 374, 375, and 376, he attacked the Korean kingdom of Baekje to the south, and in 378 was attacked by the Khitan from the north
เผ่าคิตัน เป็นชนเผ่า หนึ่งของมองโกลเลีย
กษัตริย์ โซซูริม ไม่มี พระโอรส

กษัตริย์ องค์ ที่ 18 Gogugyang ( 384 CE-391 CE)
พระอนุชา ของกษัตริย์ โซชูริม พระบิดา ของ ทัมด๊ก
In the second year of his reign, Gogukyang sent 40,000 troops to attack the Chinese state of Yan in the Liaodong Peninsula. The Goguryeo army captured Liaodong and Xuantu, and took 10,000 prisoners. In that winter, Yan counterattacked and recovered both provinces.
In 386, the prince Go Dam-deok, the later King Gwanggaeto the Great, was designated heir to the throne.
Goguryeo attacked the southern Korean kingdom of Baekje in 386, which returned the attacks in 389 and 390. In the spring of 391, Goguryeo signed a treaty of friendship with King Naemul of Silla, another of the Three Kingdoms, and received Naemul's nephew Kim Sil-seong as a hostage.

กษัตริย์ องค์ ที่ 19 Gwanggaeto the Great of Goguryeo ( 391 CE -413 CE )

ทัมดัก ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ในปี ค.ศ. 386 (ด้วยพระชนม์ ตามละคร สื่อ คือ 11 พรรษา แต่ ถ้านับตามอ้างอิงนี้ ก็ 12 พรรษา)
Gwanggaeto the Great , means "Very Greatest King, Broad Expander of Territory, [bringer of] Peace and Security, [buried in] Gukgangsang.", sometimes abbreviated to Hotaewang or Taewang. He selected Yeongnak as his era name, and was called King Yeongnak the Great during his reign.
in the 2nd century CE. Upon King Gwanggaeto's death at thirty-nine years of age in 413, Goguryeo controlled all territory between the Amur and Han Rivers (two thirds of modern Korea, Manchuria, and parts of the Russian Maritime province and Inner Mongolia).
In addition, in 399, Silla submitted to Goguryeo for protection from raids from Baekjae. Gwanggaeto captured the Baekje capital in present-day Seoul and made Baekje its vassal. Many consider this loose unification under Goguryeo to have been the first and only true unification of the Three Kingdoms.

ขอตัด ทอน มาแค่นี้ เพราะมีรายละเอียด ความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์พระองค์ ที่เพื่อนๆ ก็อ่านได้มากมาย และก็ยาวมากเลย
และตามเคยนะคะ ที่ยกภาษาอังกฤษมาทั้งท่อน ก็ ขอให้ท่าน อ่านเองแปลเองนะคะ เดี่ยวคนเล่า เล่าผิด น่ะค่ะ และที่เล่า มาข้างต้น ถ้าคนเล่า เล่าผิดพลาดอย่างไร ก็ไม่ว่า กัน แล้วกัน นะคะ ก็บอกแล้ว ว่า เล่า ขาน..ตำนาน.... เท่านั้น จะว่า เป็นพงศาวดาร คนเล่า ก็ยังไม่แน่ใจเลยค่ะ

ตำนาน คือ เรื่องราวนมนานที่เล่ากันสืบๆมา
พงศาวดาร คือ เรื่องราวของเหตุการณ์เกี่ยวกับประเทศชาติหรือ พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นประมุขของประเทศชาตินั้น
ทั้งนี้ เพราะ ไม่ทราบจริงๆ ว่า ที่คนเล่าอ่านมานั้นใครเขียนน่ะค่ะ ก็เลยถือว่า เป็นตำนาน ไปก็แล้วกันนะคะและที่เล่ามานี้ คนเล่า มีวัตถุประสงค์ ในขอบเขตของ เบื้องหลังการถ่ายทำ ละคร ตำนาน จอมกษัตริย์ เทพสวรรค์

ในที่สุด ก็ มาถึง กษัตริย์ องค์ที่ 19 ของโคคุเรียว แล้ว

Amornbyj : Writer

Copyright @ Amornbyj

*********************************************

Taken from "A New History of Korea" By Ki-baik Lee

Goguryeo (37 BC - AD 668) 고구려 高句麗

Goguryeo was one of the Three Kingdoms of Korea in the first millennium AD (along with Baekje and Silla), and fell to Silla in 668.

Goguryeo was ruled by the Go clan. Most Goguryeo rulers used the title Wang, or "King," but one exception to this was Gwanggaeto, who used the title Daewang, meaning "great king" or "emperor."

1. King Dongmyeongseong (Damul) (37 BC-19 BC) (also known as Jumong)
2. King Yuri (19 BC-AD 18)
3. King Daemushin (18-44)
4. King Minjung (44-48)
5. King Mobon (48-53)
6. King Taejo (Ryeungmu) (53-121 / 146) (also known as King Gukjo)
7. King Chadae (121 / 146-165)
8. King Shindae (165-179)
9. King Gogukcheon (179-197)
10. King Sinsang (197-227)
11. King Dongcheon (227-248) (also known as King Dongyang)
12. King Jungcheon (248-270) (also known as King Jungyang)
13. King Seocheon (270-292) (also known as King Seoyang)
14. King Bongsang (292-300) (also known as King Chagal)
15. King Micheon (300-331) (also known as King Hoyang)
16. King Gogukwon (331-371) (also known as King Gukgangsang)
17. King Sosurim (371-384)
18. King Gogukyang (384-391)
19. Emperor Gwanggaeto the Great (Youngrak) (391-413)
20. King Jangsu (Gunheung) (413-491)
21. King Munjamyeong (Myungchi) (491-519)
22. King Anjang (519-531)
23. King Anwon (531-545)
24. King Yangwon (545-559) (also known as King Yanggang)
25. King Pyeongwon (Daeduk) (559-590) (also known as King Pyeonggang)
26. King Yeongyang (Hongmu) (590-618) (also known as King Pyeongyang)
27. King Yeongnyu (618-642)
28. King Bojang (Kaehwa) (642-668)

http://www.chinahistoryforum.com/index.php?showtopic=1898&st=0

เล่าขาน ตำนานชนชาติเกาหลี ตอนที่ 2 ...by... Amornbyj

มีข้อมูล อีกแหล่ง คือ อ่านพบมาจาก BYJtogether

ขอนำมาเล่าเป็น ตอน ๆ ที่ มีเรื่องเกี่ยวข้องกัน อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่า ประวัติศาสตร์เกาหลี มีการนำมาเขียน โดยมีแหล่งข้อมูลมาจากหลายที่ คนเล่า จึงใช้คำว่า ไม่ฟันธง ว่าเรื่องเล่านี้ เป็นประวัติศาสตร์ เป็นเพียง การนำบทความ จากหลาย ๆที่ ที่อ่านเจอมา เล่าสู่กันอ่านเท่านั้น แต่ก็ ต้องให้เครดิต กับต้นฉบับที่นำมาเล่าต่อ โดย คงข้อความของเจ้าของเรื่องเดิมเขาไว้นะคะ
ประวัติศาสตร์เกาหลี

ยุคก่อนประวัติศาสตร์

ได้มีการขุดค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากหินที่บ่งบอกถึงการตั้งถิ่นฐานบนคาบสมุทรเกาหลีซึ่งมีอายุประมาณ 50,000 ปี ทำให้ทราบว่ามีผู้คนอาศัยอยู่บนคาบสมุทรเกาหลีมาตั้งแต่สมัยยุคหินเก่าแล้ว หลังจากนั้นได้มีการค้นพบเครื่องปั้นดินเผาที่ทำจากดินเหนียวปนทราบประเภทไห ซึ่งมีลักษณะลวดลายเป็นแนวยาว โดยนักโบราณคดีได้เรียกเครื่องปั้นดินเผารูปแบบนี้ว่า “เครื่องมือเครื่องใช้ลายฟันหวี” เครื่องปั้นดินเผาแบบนี้นั้น พบมากในบริเวณเอเชียเหนือและแถบไซบีเรีย

นอกจากนี้แล้ว ยังพบเครื่องมือเครื่องใช้อื่นๆ เช่น หัวธนูและมีดที่ทำจากหิน ฉมวกและตาข่ายดักปลา ทำให้ทราบว่า บรรพบุรุษชาวเกาหลีในสมัยก่อนนั้น ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบชายทะเล หาเลี้ยงชีพด้วยการจับปลาและล่าสัตว์ จากนั้น ก็ได้มีการขยายการตั้งถิ่นฐานเข้ามาด้านในของคาบสมุทรมากขึ้น ได้มีการริเริ่มทำการเพาะปลูกขึ้นแล้วในสมัยนี้ หลังจากนั้นแล้ว ก็ได้มีการรับเอาเทคโนโลยีการผลิตโละหะสัมฤทธิ์จากจีนมาใช้ทำเป็นอาวุธ

ชาวเกาหลีในขณะนั้น อาศัยอยู่ตามถ้ำ มีการรวมกลุ่มกันครอบครัว และรวมตัวกันเป็นสายตระกูล โดยมีชายที่มีอายุมากที่สุดในสายตระกูลเป็นหัวหน้า เมื่อหัวหน้าตระกูลตัดสินใจอะไร สมาชิกก็ต้องปฏิบัติตาม ยกเว้นการตัดสินใจในเรื่องสำคัญจะมีการปรึกษากันเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน นอกจากหัวหน้าสายตระกูลจะมีหน้าที่ทางด้านการปกครองแล้ว ยังมีหน้าที่ทางศาสนาด้วย ชาวเกาหลีในสมัยนั้นยังมีคติความเชื่อว่ามีวิญญาณในธรรมชาติและจักรวาล (Animism) และหัวหน้าตระกูลได้รับการยอมรับว่าสามารถติดต่อกับวิญญาณเหล่านี้ได้ ดังนั้น หัวหน้าตระกูลจึงต้องประกอบพิธีกรรมบวงสรวงวิญญาณเพื่อป้องกันเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับสายตระกูลของตน

ลักษณะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ การห้ามแต่งงานในสายตระกูลเดียวกัน จึงทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสายตระกูล เมื่อความสัมพันธ์กว้างขวางขึ้น จึงเกิดการรวมตัวกันเป็นชนเผ่า มีชื่อว่า ชนเผ่าโชซอนเก่า

ยุคโชซอนเก่า (2333 ปีก่อนค.ศ.)

ในช่วง 300-400 ปีก่อนคริสตกาลนั้น ชนเผ่าโซชอนเก่านั้น มีอิทธิพลอยู่แถบบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลียว ซึ่งหัวหน้าตระกูลนั้นได้รับอิทธิพลจากจีนจึงได้สถาปนาตนขึ้นเป็น “กษัตริย์” และตั้งเป็นอาณาจักรโชซอนเก่าขึ้น โดยกษัตริย์ของอาณาจักรโชซอนเก่านั้น สามารถรบชนะรัฐใกล้เคียงในบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลียวได้อย่างมากมาย ทำให้อาณาจักรโซซอนสามารถมีอำนาจเหนือบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลียวได้ทั้งหมด ต่อมาเมื่ออาณาจักรโชซอนเก่าเริ่มอ่อนแอลง รัฐต่างๆ ก็รวมตัวกันโดยมีรัฐเยนเป็นหัวหน้าเข้าโจมตีอาณาจักรโชซอนเก่า ทำให้อาณาจักรโชซอนเก่าต้องถึงจุดสิ้นสุดลง

การดำรงชีวิตของชนเผ่าโชซอนเก่านั้น มีการพัฒนาจากกการอาศัยอยู่ในถ้ำมาเป็นการสร้างบ้านด้วยไม้ โดยบ้านของชาวเกาหลีนั้น จะมีระบบทำความร้อนโดยการก่อไฟให้ความร้อนอยู่ใต้ถุนบ้าน และระบายควันออกทางปล่องไฟ ซึ่งบ้านแบบนี้ยังสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน นอกจากนั้นแล้ว มีการรับเทคโนโลยีการใช้เหล็กจากจีน ส่วนประเพณีการฝังศพนั้นในสมัยนี้จะใช้วิธีการขุดหลุมฝังศพหรือไม่ก็ทำเป็นเนินดิน ซึ่งคล้ายกับประเพณีการฝังศพแบบจีนหรือการทำฮวงซุ้ย

ในด้านการปกครองนั้น เมื่อมีการรวมกลุ่มกันมากขึ้น ก็จึงต้องมีข้อกำหนดร่วมกันมาบังคับใช้ในชุมชน โดยมีการจัดทำกฎหมายเกี่ยวกับสมัยโชซอนเก่า เพื่อใช้ในการควบคุมประชาชนในอาณาจักรโชซอนเก่า ซึ่งกฎหมายนี้นั้นจะมีทั้งข้อกระทำผิดและบทลงโทษ เช่น หากขโมยสิ่งของ ก็ต้องไปรับใช้เจ้าของนั้น และต้องชดใช้ด้วยข้าวเปลือกให้แก่เจ้าของสินทรัพย์นั้น แสดงให้เห็นว่า ในสมัยนั้นได้มีทาสเกิดขึ้นแล้ว และมีข้าวเปลือกเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

ต่อมาเมื่อ 109 ปีก่อนคริสตกาล อาณาจักรจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น ได้ขยายตัวมาทางคาบสมุทรเกาหลี โดยส่งกำลังเขายึดเมืองวังกอม เมืองหลวงของอาณาจักรโชซอนเก่า และรวมดินแดนโชซอนโบราณเข้ากับจีนได้เป็นผลสำเร็จ จากการที่จีนสามารถยึดครองอาณาจักรโชซอนเก่า ทำให้วัฒนธรรมของจีนได้ถูกปลูกฝังในดินแดนแถบนี้เป็นอย่างมาก

ในระหว่างนั้นเอง ได้มีการตั้งอาณาจักรโคกูเรียวขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำทงกาและแม่น้ำอัมนก ซึ่งลักษณะการรวมตัวกันจะคล้ายกับการรวมตัวของชนเผ่าโชซอน คือรวมตัวกันในสายตระกูลหลายตระกูล โดยมีการจัดการปกครองที่มีประสิทธิภาพและมีสภาพสังคมที่ดี ชาวโคกูเรียวนั้นเป็นพวกนักรบที่มีความสามารถสูง ทำให้สามารถโจมตีอาณาจักรข้างเคียงได้อย่างมากมาย เช่น อาณาจักรพูยอและอาณาจักรโอกจอ เป็นต้น

เมื่อถึงสมัยสามก๊ก มีการแย่งชิงอำนาจเกิดขึ้นมากมายในดินแดนประเทศจีนรวมทั้งคาบสมุทรเกาหลีด้วย ทำให้การปกครองดูแลดินแดนทางแถบคาบสมุทรเกาหลีอ่อนกำลังลงจนในที่สุด อาณาจักรโคกูเรียว อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรเกาหลี ก็ได้เข้าโจมตีดินแดนของอาณาจักรโชซอนเก่าเป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ.313 ทำให้อาณาจักรโคกูเรียวสามารถมีอำนาจอยู่ทางตอนเหนือคาบสมุทรเกาหลีในเวลาต่อมา

ยุคสามอาณาจักร (สามก๊ก)( 57 ปีก่อนค.ศ. - ค.ศ. 668)

ในยุคสามอาณาจักรนั้น คาบสมุทรเกาหลีประกอบไปด้วยอาณาจักรต่างๆ คือ อาณาจักรโคกูเรียว อาณาจักรแพกเจ และอาณาจักรซิลลา ซึ่งทั้งสามอาณาจักรนั้น มีลักษณะการเมืองการปกครองที่แตกต่างกันไป
อาณาจักรโคกูเรียวนั้น เมื่อมีชัยชนะเหนือจีนแล้ว ทำให้อาณาจักรโคกูเรียวมีอาณาเขตกว้างขวาง เป็นที่หวั่นเกรงของอาณาจักรข้างเคียง ทำให้อาณาจักรถูกรุนรานบ่อยครั้ง ซึ่งครั้งที่ใหญ่ที่สุดคือในปี ค.ศ.342 ซึ่งอาณาจักรโคกูเรียวถูกรัฐเยนของชนเผ่าเสียนเป่ยโจมตีและยึดเมืองหลวงได้สำเร็จ แต่ต่อมาไม่นานอาณาจักรโคกูเรียวก็สามารถยึดดินแดนคืนจากรัฐเยนได้ ทำให้อาณาจักรโคกูเรียวจึงคิดหาวิธีป้องกันโดยการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับจีนและได้นำพุทธศาสนาจากเมืองจีนมาเผยแพร่ในอาณาจักรอีกด้วย หลังจากนั้นแล้ว ก็ได้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรมาอยู่ที่เปียงยาง

ในด้านการปกครองของอาณาจักรโคกูเรียวในส่วนกลางนั้น กษัตริย์ทรงแต่งตั้งขุนนางขึ้นมาบริหารประเทศ โดยแบ่งขุนนางออกเป็น 16 ระดับ โดยตำแหน่งของขุนนางในสมัยนี้นั้น ไม่สามารถสืบเชื้อสายในวงศ์ตระกูลได้ การปกครองส่วนภูมิภาคนั้น เนื่องจากอาณาจักรโคกูเรียวมีอาณาเขตกว้างขวาง จึงได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 เขต โดยกษัตริย์ทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองไปปกครองในแต่ละเขต ซึ่งอำนาจหน้าที่ของเจ้าเมืองนั้นได้แก่ การบริหารท้องถิ่น การบัญชาการทหาร และการเก็บภาษีอากรส่งให้ส่วนกลาง โดยอาณาจักรโคกูเรียวนั้นได้มีกฎหมายโดยเน้นในเรื่องการเก็บภาษีเป็นหลักเพื่อนำมาภาษีเหล่านั้นมาพัฒนาประเทศ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า อาณาจักรโคกูเรียวได้พัฒนาในเรื่องการปกครองให้มีระเบียบแบบแผนมากขึ้นจากเดิมอย่างมากมาย

อาณาจักรแพกเจกำเนิดขึ้นทางตอนใต้ของอาณาจักรโคกูเรียว เกิดจากการรวมตัวของชนเผ่าต่างๆ ซึ่งมีระยะเวลาการพัฒนาการเป็นอาณาจักรสั้นกว่าของอาณาจักรโคกูเรียวอย่างมาก ทำให้ระบบการปกครองของอาณาจักรแพกเจในระยะแรกยังไม่เป็นระเบียบเท่าที่ควร แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบการปกครองขึ้น โดยในส่วนกลาง มีการแบ่งตำแหน่งการบริหารออกเป็น 16 ระดับ โดยแบ่งเป็น 3 สาย ซึ่งในสายแรกนั้นจะบริหารในหน้าที่สำคัญๆ ของอาณาจักร เช่น การทหาร การคลัง การปกครอง เป็นต้นซึ่งแต่ละตำแหน่งขุนนางจะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 3 ปีเท่านั้นเพื่อป้องกันการสร้างอำนาจขึ้นต่อต้านอาณาจักร และการในส่วนภูมิภาคนั้น อาณาจักรแพกเจได้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 5 เขต ตามทิศต่างๆ คือ เขตภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคกลาง โดยจะมีผู้ว่าการเขตซึ่งเป็นพลเรือนที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลางให้บริหารปกครองในแต่ละเขต

ส่วนอาณาจักรสุดท้ายคืออาณาจักรซิลลานั้นรูปแบบการปกครองจะคล้ายกับสองอาณาจักรแรก แต่จะแตกต่างจากสองอาณาจักรแรกคือ มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม และตำแหน่งทางราชการสามารถสืบตำแหน่งทางสายตระกูลได้ โดยระบบชนชั้นทางสังคมในระยะแรกนั้นแบ่งออกเป็น 8 ระดับ โดยชนชั้นสูง 2 ระดับแรกจะเป็นชนชั้นกษัตริย์และราชวงศ์ ชนชั้นระดับที่ 3 และ 4 เท่านั้นที่สามารถเป็นขุนนางได้ ชนชั้นที่เหลือไม่มีสิทธิที่จะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาได้เลย แต่ต่อมาก็ได้มีการแก้ไขให้ชนชั้นกลางสามารถรับราชการได้ ส่วนการบริหารภูมิภาคนั้น ได้แบ่งการปกครองออกเป็นจังหวัดย่อยๆ มากมาย เพื่อให้สามารถควบคุมประชากรและเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า 2 อาณาจักรแรก

ในระยะแรกของสมัยสามอาณาจักรนั้น ประชากรดำรงชีวิตอย่างสงบ ปราศจากสงคราม เนื่องจากประเทศจีนอยู่ในภาวะระส่ำระสาย แต่เมื่อจีนมีการปกครองอย่างมั่นคงในราชวงศ์สุยแล้ว ก็เกิดการแย่งชิงอำนาจกันขึ้นในดินแดน โดยการปกครองของอาณาจักรซิลลานั้นเข้มแข็งขึ้นอย่างมาก เป็นเหตุให้อีกสองอาณาจักรหวาดระแวงว่าจะเกิดสงครามขึ้น จึงได้ทำสัญญาไมตรีร่วมกัน ทำให้อาณาจักรซิลลาต้องแสวงหาพันธมิตรบ้าง จึงได้หันไปเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์สุยของจีน ต่อมา ภาวะสงครามก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยจีนบุกเข้าโจมตีอาณาจักรโคกูเรียวทางด้านทิศเหนือ แต่ก็ถูกอาณาจักรโคกูเรียวต้านไว้ได้ หลังจากนั้นไม่นาน ราชวงศ์สุยของจีนก็เสื่อมอำนาจและราชวงศ์ถังก็ก้าวขึ้นมามีอำนาจแทนที่ ต่อมาอาณาจักรโคกูเรียวเข้าโจมตีอาณาจักรซิลลาเพื่อหวังที่จะตัดทางเชื่อมต่อกับระหว่างอาณาจักรซิลลากับจีน เมื่อกษัตริย์ราชวงศ์ถังของจีนเห็นดังนั้น จึงอ้างความเป็นพันธมิตรขอร้องให้อาณาจักรโคกูเรียวถอนกำลังออกจากอาณาจักรซิลลา แต่ได้รับการปฏิเสธทำให้พันธมิตรทั้งสองฝ่ายบาดหมางกันยิ่งขึ้น

ต่อมา อาณาจักรซิลลาได้เข้าโจมตีอาณาจักรแพกเจได้สำเร็จ และต่อมาจึงได้ร่วมมือกับจีนตีขนาบอาณาจักรโคกูเรียวโดยจีนเข้ามาทางทิศเหนือ และอาณาจักรซิลลาเข้าโจมตีทางทิศใต้ จนในที่สุด อาณาจักรโคกูเรียวก็ได้ล่มสลายไปในคราวนั้นเอง

ภายหลังจากที่อาณาจักรโคกูเรียวที่ถูกตีแตกนั้น ชาวโคกูเรียวได้อพยพขึ้นเหนือไปในเขตแมนจูเรีย และได้ไปตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้นชื่อว่า อาณาจักรพัลแฮ ต่อมาก็ได้ขยายดินแดนลงมาในคาบสมุทรเกาหลีมากขึ้น โดยสามารถยึดดินแดนที่เคยเป็นอาณาจักรโคกูเรียวเดิมส่วนมากได้สำเร็จ แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 10 ก็ถูกชาวคีตันโจมตี พวกชนชั้นปกครองจึงได้อพยพมาตั้งอาณาจักรใหม่ชื่อว่า อาณาจักรโคเรียว

(ที่มา: cyberlab มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จาก BYJtogether )

ขอแสดงความเห็นส่วนตัวค่ะ

ราชวงศ์ฮั่นของจีน

อยู่ระหว่าง ปี พ.ศ. 337- 763 ( เทียบเป็น ค.ศ. คือ ก่อน ค.ศ. 106 ปี ถึง ค.ศ. 220 และเริ่ม เกิด เรื่องราวของ สามก๊ก ของจีน เกิดขึ้น โดยยังถือเรื่องราว ของสามก๊ก นี้ เป็นเรื่องราวของราชวงศ์ฮั่นอยู่ และถือ ว่า ราชวงศ์ฮั่น นี้ยืนยาวมาจนปี พ.ศ. 969 ( ค.ศ. 426) โดย ระหว่างนี้ มีราชวงศ์ จิ้น ค.ศ.317-420 ) เกิดซ้อนขึ้นมา โดย ลูกหลาน สายตระกูล ของสุมาอี้ ( ทหาร ของ โจโฉ ) ชื่อ สุมาเอี๋ยน เป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์ จิ้น ขึ้นมา หลังจาก ปลดกษัตริย์ ลูกหลาน สายตระกูลของโจโฉ เป็นสามัญชน)

ดังนั้น รัชสมัย ของกษัตริย์กวางแกโท มหาราช หรือ กษัตริย์ Yeongnak หรือ ทัมด๊ก ก็ เป็นช่วง ปลาย ราชวงศ์ ฮั่น

คำว่ารัฐ เยน น่าจะเป็น ยาน ในละครตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ หรือ คือ รัฐ เยี่ยน กระมังนะคะ

ส่วนคำว่า สามก๊ก ใน เรื่องของ ประวัติเกาหลี หมายถึง ยุค สาม อาณาจักร หรือ ซัมคุกยูซา คนละสามก๊กของจีน นะคะ ทั้งจีนและเกาหลี ต่างมี สามก๊กของชนชาติของตนนะคะ

ระเบียบ การปกครอง ของโคกูเรียว มีการ เปลี่ยนแปลง พัฒนา มาจาก ทัมด๊ก กษัตริย์ องค์ที่19

การย้ายเมืองหลวง ของโคกูเรียว จาก ปราสาท โกกแน ไปอยู่ที่เปียงยาง เกิดใน รัชสมัย กษัตริย์ Jang su พระโอรส กษัตริย์ กวางแก โท มหาราช ใน ปี ค.ศ. 427 ( กษัตริย์ ยูริ ย้ายเมืองหลวงจาก Jolbon ไปที่ Guknae Seong.)

บทความนี้ กล่าวถึงการเกิดอาณาจักรแพคเจ ซึ่งไม่ได้ลงรายละเอียดอย่างไร และใช้คำว่า เกิดจากการรวมตัวของชนเผ่าต่างๆ ข้อความนี้แตกต่าง กับ เรื่องราวจากแหล่งอื่นๆนะคะ จากแหล่งอื่น แพคเจ ก่อตั้งโดย องค์ ชาย ออนโจ โดยรวม เมืองของ องค์ชายองค์พี่ พีรู เข้าด้วยกัน แต่บรรยายถึงระบบการปกครอง ของแพคเจ อ่านแล้วจะเหมือนกัน เรื่อง ขุนนาง 16 ระดับ และ มี 5 เขต (มีข้อแตกต่าง ที่ ขุนนางแพคเจอยู่ในตำแหน่งได้ 3 ปี )ก็ไม่แปลก หาก แพคเจ ก็คือ เมืองน้อง ของโดคุริออ ตาม ที่ละครจูมงสื่อไว้ และ ใน วิกิพีเดีย

มีข้อความกล่าวถึงราชวงศ์ ของจีน คือ ฮั่น สุย และถัง

ขอแนะนำ ละคร ที่เกี่ยวพัน กับราชวงศ์ สุย เป็นซีรี่ส์จีน ยาวมาก คือ เรื่องศึกลำน้ำเลือด เป็นเรื่องราว ของปลายราชวงศ์ สุย และเป็นการเริ่มต้นของราชวงศ์ ถัง
ลำน้ำเลือดนี้เป็นความโหดร้ายของกษัตริย์ สุยหยางตี้ (หยางกวาง)ทรงโหดเหี้ยมทารุณและทรงฟุ่มเฟือย เกณฑ์แรงงาน ประชาชน ประมาณ 3-6 ล้าน คน ขุดคลอง ต้าหวินเหอ หรือ ต้าหยุนเหอ เพื่อ เชื่อมแม่น้ำฮวงโหทางภาคเหนือ และแม่น้ำแยงซีเกียงทางภาคใต้ เป็นการเชื่อมต่อทางน้ำ ของมณฑลเหอเป่ย ชานตุง เจียงซู และเจ๋อเจียงเข้าด้วยกัน เพื่อ ใช้สำหรับการล่องเรือท่องเที่ยวเพื่อความสำราญส่วนพระองค์ จากปักกิ่งมายังหังโจว รวม 1,800 กิโลเมตร แบ่งเป็น 24 ช่วง 60 สะพาน เป็นคลองขุดที่ยาวที่สุดในโลกโบราณ เร่งก่อสร้างให้เสร็จภายใน 6 ปี จึงมีผู้คนล้มตายจำนวนมหาศาล ( เอ้อเฮอ พอ ๆ กับกำแพงเมืองจีนของจิ๋นซี ฮ่องเต้ แต่ นั่น สื่อว่า เป็นการสร้างกำแพงเมือง เพื่อป้องกันการรุกรานของชาติอื่น ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ ความร่มเย็นเป็นสุข ของลูกหลานวันข้างหน้า และกลายมาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ หนึ่งใน เจ็ดของโลก เมื่อ สมัย คนเล่า ต้องท่องไว้ ใช้สอบ เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว)

ละคร เรื่องนี้ จะทำได้รู้จัก หลี่หยวน ปฐมกษัตริย์ ถังเกาจู ฮ่องเต้ รวม ทั้ง หลี่ซื่อหมิง ที่สืบต่อ เป็น ถังไท่จงฮ่องเต้ แล้วก็เกิด พระสนม บูเหม่ยเหนียง เมื่อ ถังไท่จง ฮ่องเต้ สิ้นพระชนม์ พระโอรส ถังเกาจงฮ่องเต้ ครองราชย์ต่อ ได้สึก แม่ชี บูเหม่ยเหนียง พระสนมของพระบิดา มาเป็นสนมเอกของพระองค์ จนเกิดเป็นเรื่องราว ของ บูเซ๊กเทียน ขึ้นมา ทุกท่านคงรู้จัก บูเซ็กเทียน ที่ยกตัวเองขึ้นเป็น ฮ่องเต้หญิง แล้วนะคะ แม้จะเป็นหญิงโหดเหี้ยม สร้างตัวเองเป็นใหญ่ แต่ บูเซ็กเทียน นับว่า เป็นพุทธศาสนิกชน ทำบุญเลี้ยงพระ สร้างวัดวาอาราม แต่งหนังสือทางพุทธศาสนา (ลึกๆ ในพระทัยของพระนาง คงเพื่อไถ่บาป กระมังนะคะ) แล้ว มาเล่า ทำไม เรื่องของแผ่นดินจีน ก็ เพราะ ในช่วงราชวงศ์ถัง ที่ 2 หลีซือหมิง หรือ ถังไท่จง ฮ่องเต้ นี่แหละ ที่ส่งพระถังซำจั๋ง ไปอัญเชิญพระไตรปิฎก จากอินเดีย ไปถึงวัดนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์ ของศาสนาพุทธ ที่อินเดีย และในละคร บูเซ็กเทียน นี่แหละ มีการกล่าวถึง การถวายเครื่องราชบรรณาการจากเกาหลี ในฐานะ เมืองขึ้น ของราชวงศ์ถัง ค่ะ ใน ซีรี่ส์ ใช้ชื่อ ว่า เกาหลี นะคะ เพราะ คนแปล เป็นไทย แปลมาอย่างนั้น เมื่อโยงเข้าด้วยกัน นี่คือ ยุค ที่ อาณาจักร แพคเจ และ โคคุเรียว ล่มสลาย

ราชวงศ์ถัง นี้ อยู่ระหว่าง ค.ศ. 618 - ค.ศ. 906

ราชวงศ์ถังล่มสลาย ก็ต่อด้วย ราชวงศ์ ซ่ง หรือซ้อง

และในปลายราชวงศ์ ถัง และ ซ่ง นี้ เป็น ช่วง ที่ชาว คีคัน มาโจม โต ชาว คิตัน นี้ ก็ คือ มองโกล ค่ะ แล้วก็ มาบรรจบ พบกับละคร เรื่อง เจงกีสข่าน แล้วล่ะค่ะ เชิญติดตาม ใน ทีวี ได้นะคะ

กลับมาประเทศเกาหลี ค่ะ

มาถึงเรื่องของ อาณาจักร โคคุเรียว (โคคุริออ) ว่า เกิด อาณาจักร แพคเจ ขึ้นอีก 1 อาณาจักร ในช่วง กษัตริย์ ยูริ กษัตริย์ องค์ที่ 2 ของ โคคุเรียว นะคะ

ยูริพระโอรส ของจูมง กับพระชายา เดิม เยโซยา ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 2 ของโคคุเรียว ในระหว่างปี (19 BCE-18 CE )

ในละครจูมง จะสื่อ ความ อัจฉริยะ ฉลาด กล้าหาญ มีฝีมือเก่งกาจ ในการต่อสู้ ขององค์ชาย ยูริ เสียจน ถึงแม้ว่า องค์ชาย Biryu และองค์ชาย Onjo เป็นโอรส ของกษัตริย์จูมง จริง กษัตริย์ จูมง ก็ต้องยกตำแหน่งรัชทายาทให้ เมื่อ นับตามวัยวุฒิ ก็เป็นโอรส องค์โต ด้วย เมื่อยูริขึ้นเป็นกษัตริย์ ก่อนองค์ ชาย Onjo สถาปนา อาณาจักร Baekje 1 ปี และทรงพระชนม์สั้นกว่า กษัตริย์ Onjo ซึ่งอยู่ในราชสมบัติ แพคเจระหว่างปี ( 18 BCE -29 CE )

กษัตริย์ Yuri ถูกกล่าวขวัญว่า Yuri is described as a powerful and military successful King. He conquered Xiongnu tribe in 9 BCE.
และ In 3 BCE กษัตริย์ Yuri ได้ย้ายเมืองหลวงจาก Jolbon ไปที่ GUKNAE SEONG ( ปราสาทโกกแน ของ ทัมด๊ก ในละคร ตำนาน จอมกษัตริย์ เทพสวรรค์ของเรา นั่นเอง)

กษัตริย์Yuri มีพระโอรส 5 พระองค์ พระโอรส องค์โตสิ้นพระชนม์ไปก่อน ทรงตั้งพระโอรสองค์ที่ 2 เป็นรัชทายาท ต่อมา ทรงเห็นว่า รัชทายาท เป็นคนดื้อดึง ใจร้อน ไม่รอบคอบ ทรงตั้งรัชทายาทใหม่ เป็น พระโอรสองค์ ที่ 3 ซึ่งมีพระมารดา เป็น ธิดา ของเมือง Song Yang ( ในละครจูมง มีชื่อนี้ ด้วย จำกันได้ไหม แต่ กลายเป็นชื่อของ บุคคล ที่เป็นหัวหน้า แคว้น บีเรียว ชายสูงอายุ ที่ ยึดอำนาจ ผู้นำสูงสุด ของโชลบน ไปจาก ยอนทาบัล และซอซอนโน และยังไปยอมสวามิภักดิ์ กับเจ้าเมือง ฮยอนโท พ่อของชุนหลาน ชายา ของ องค์ชายแทโช ทำให้ วุ่นมากขึ้นไหมกับคำอธิบายนี้))
กษัตริย์ Yuri พระชนม์ สั้น เพียง 37 พรรษา เอง เมื่อ
พระโอรส องค์ ที่ 3 ขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์ องค์ที่ 3 ของโคคุเรียว กษัตริย์ Daemusin ( ค.ศ. 18-44)
เป็นผู้ สังหาร กษัตริย์ Daeso ของ โดงบูยอ ใน ปี 22 CE

( กษัตริย์ Daeso ที่เป็นคู่ปรับของกษัตริย์ จูมง ในเมือง โดงบูยอ อายุยืน จนมาถึงรุ่นพระนัดดา ของกษัตริย์ จูมง เชียวนะ แต่ถ้านับตามข้อมูล นี้แล้ว กษัตริย์ กึมวา อยู่บนบัลลังก์ โดงบูยอ ปี 48 BCE-7 BCE และกษัตริย์ แทโช ขึ้นครองราชย์ ระหว่าง ปี 7 BCE – 22 CE ดังนั้น กษัตริย์ แทโช ครองราชย์ โดงบูยอ หลัง จูมง สิ้นพระชนม์ กษัตริย์ จูมง มีสัมพันธ์ ที่ดี กับกษัตริย์ กึมวา เพราะพระมารดา Yuhwa ยังคงอยู่ ที่ โดงบูยอ เมื่อสิ้นพระชนม์ในขณะ ที่ จูมงขึ้นเป็นกษัตริย์ของโคคุเรียวแล้วหลายปี กษัตริย์ กึมวา ทรงจัดพิธีพระศพของ Yuhwa ในฐานะ ราชินี และแม่ของแผ่นดิน ทั้งที่ Yuhwa มิใช่ราชินี ของ โดงบูยอ

กษัตริย์ แทโช ยกกองทัพมา ตี โคคุเรียว 2 ครั้ง ในรัชสมัย Yuri 1 ครั้ง และ รัชสมัย ของ Daemusin และสิ้นพระชนม์ เพราะ กษัตริย์ องค์ที่3 ของ โคคุเรียว นี่เอง และถือว่า โดงบูบอ ล่มสลายหลัง กษัตริย์ แทโช สิ้นพระชนม์ แม้จะทรงมีพระอนุชา อีกรวม 6 พระองค์ ซึ่งไม่ได้กล่าวว่า พระอนุชา เป็นอย่างไรถ้าดูตามบุคลิกของกษัตริย์แทโช ตามบทละครจูมงมหาบุรุษกู้บัลลังก์ พระอนุชา อาจถูก กำจัดทิ้งไปก่อนหน้านี่ Amornbyj สันนิษฐานเองค่ะ)

มาถึงตรงนี้ อาณาจักร บูยอ ทั้ง 3 บูยอ ล่มสลายหมดเช่นกัน ทั้ง บูยอ บุกบูยอ และโดงบูบอ

จาก วิกิพีเดีย

ขอเรียงความ ใหม่ ถึง การเกิด และล่มสลายของอาณาจักร บนคาบสมุทรเกาหลี หลังการสถาปนาของ

อาณาจักร โคคุริออ (โคคุเรียว ) 37 BCE - 668 CE มีกษัตริย์ รวม 28 พระองค์
แพคเจ 18 BCE -660 CE มีกษัตริย์ 31 พระองค์
ชิลลา - Pre Unification 57 BCE – 661 CE มีกษัตริย์ 29 พระองค์
ชิลลา -post Unification 661 CE - 912 CE มี กษัตริย์ นับต่อ จาก ชิลลา Pre Unification นับต่อ องค์ที่30-52 คืออีก 23 พระองค์
อาณาจักร กายา ที่เป็นอาณาจักร ถึงปี ค.ศ. 42- 562 มีกษัตริย์(ประมาณ ) 26 พระองค์
อาณาจักร Balhae 669 CE – 926 CE มีกษัตริย์ 15 พระองค์
อาณาจักร Goryeo 877 CE- 1392 CE มีกษัตริย์ 34 พระองค์
อาณาจักร Joseon 1335 CE-1408 CE , 1392 CE - 1863 CE มีกษัตริย์ 27 พระองค์
Korean Empire มี King of Korea ในปี 1863CE -1897 CEและสุดท้าย Emperor of Korea 1897 CE -1907 CE รวม เป็น กษัตริย์ 2 พระองค์

เป็นอันสิ้นสุด ระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีกษัตริย์ ปกครองประเทศ ของ ประเทศเกาหลี

ขอสรุปว่า อาณาจักร โคคุริออ (โคคุเรียว ) มีอายุ 705 ปี
อาณาจักร แพคเจ มีอายุ 678 ปี
อาณาจักร ชิลลา ก่อตั้ง ก่อน อาณาจักร โคคุริออ และล่มสลายภายหลังสุด ของยุค สาม อาณาจักร รวม มีอายุ 969 ปี
และเกิด อาณาจักร โคริออ ซ้อนขึ้นมาในช่วง ค.ศ. 877

มีหนังสือ อีกฉบับ this is korea เป็นนิตยสารนำเที่ยว ประเทศเกาหลี ตีพิมพ์ ขาย ในช่วงละคร แดจังกึม กำลังออนแอร์ ที่บ้านเรา เล่าว่า

ในปี 660 เบคเจ พ่ายแพ้ต่อ ชิลลา ประเทศเบคเจ มีเมืองหลวงสุดท้ายชื่อ พูยอ โดยย้ายมาจาก คงจู (472-539 ) ที่เมือง คงจู ในปัจจุบัน มี พิพิธภัณฑ์ แห่งชาติ คงจู เป็นที่จัดแสดงทรัพย์สมบัติจากสุสาน ของกษัตริย์ มู ของแพคเจ แม้ว่าส่วนใหญ่ สุสานจะถูกทำลายไปแล้ว แต่สุสานของกษัตริย์ มู นี้ ยังอยู่ในสภาพเดิม จนกระทั่งมีการขุดค้นใน ปี 1971

(กษัตริย์ mu พระองค์ นี้ ก็ คือ อาชาง หรือ ซอดอง จาก ซีรีส์ ชอดองโย สายใยรักสองแผ่นดิน เป็นความรักของเจ้าชาย ที่กลายเป็นกษัตริย์ องค์ ที่ 30 ของแพคเจ และเจ้าหญิง ซันวา จากชิลลา )

ที่เมือง พูยอ มี หน้าผา นักความฮัม บนฝั่งแม่น้ำ เป็นที่เกิด โศกนาฎกรรม เมื่อ เบคเจ ถูกรุกรานนั้น (โดยซิลลา) นางใน 3,000 คน ได้มาโดดน้ำตายเพื่อให้รอดพ้น การถูกข่มเหงโดยทหารฝ่ายตรงข้าม ภาพหญิงสาวในเสื้อผ้าสีสดใส พากันกระโดดจากหน้าผา ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้ชื่อว่า “ผาแห่งดอกไม้ที่ร่วงหล่น”
น่าเศร้าใจ จริงๆ

ส่วนในหนังสือ เปิดประตุ สู่เกาหลี ( โดย คิม โอะจุง -ผู้เขียน )กล่าวไว้ว่า

เมื่อ โคโซซอน ล่มสลาย บรรดาเมืองต่างๆ ที่เคยอยู่ใต้การปกครอง ก็แตกแยกเป็น ประเทศเล็กประเทศน้อย ถึง 7 ประเทศ และต่างก็ทำสงครามแย่งความเป็นใหญ่กันจนเหลือ 4 ประเทศ คือ โคคุริออ แพคเจ ชิลลา และกายา แล้วในปี ค.ศ. 562 กายา ก็ตกเป็นส่วนหนึ่งของชิลลา ทำให้คาบสมุทรเกาหลี เหลือเพียง 3 ประเทศ

ยุคนี้เป็นยุคที่วุ่นวายและซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่กันของ 3 ประเทศ ในขณะที่แพคเจต่อสู้กับชิลลานั้น โคคุริออ ก็ต่อสู้กับจีน (ราชวงศ์ถัง) จีนจึงไม่สามารถช่วยชิลลาได้ ชิลลาได้ยื่นข้อเสนอกับจีนอย่างลับๆว่า ถ้าช่วยตี โคคุริออกับแพคเจได้ จะยกแผ่นดินในภาคเหนือ ของโคคุริออให้จีน จีนจึงตกลง เมื่อทำสำเร็จแล้ว แพคเจ กับโคคุริออ จึงล่มสลาย จีนผิดสัญญา โดยการพยายามครอบครองคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมด ชิลลาจึงไปช่วย โคคุริออ และแพคเจ ขับไล่ทหารจีนออกจากคาบสมุทรเกาหลี ทั้ง 3 ประเทศ จึงรวมเป็นหนึ่งเดียว

เมื่อ 3 ประเทศ รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก็น่าจะยุติด้วยดีแล้ว แต่การณ์ไม่เป็นเช่นนั้น ในปลาย คริสต์ศตวรรษ ที่ 9 บ้านเมืองก็เริ่มไม่สงบอีก เพราะการฉ้อราษฎร์บังหลวง ของบรรดาขุนนาง ชิลลา ในขณะเดียวกันเมืองแพคเจ และโคคุริออ ได้มีคนดีมีฝีมือเกิดขึ้น จึงแยกตนเป็นอิสระอีกครั้ง เกิดเป็นประเทศแพคเจยุคหลัง และ โคคุริออ ยุคหลัง กลับเป็น 3 ประเทศเช่นเดิม สำหรับประเทศ โคคุริออยุคหลังนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น โคริออ โดยกษัตริย์ วังกอน ช่วงนี้จึงเรียกว่า 3 ประเทศยุคหลัง


ต่อมา โคริออ พยายามจะรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นจึงเกิดการทำสงครามกันอีก ในปี ค.ศ. 936 ก็สามารถรวม แพคเจและชิลลา ให้กลับมาเป็นประเทศเดียวกันอีกบนคาบสมุทรเกาหลี ในชื่อประเทศใหม่ว่า โคริออ นับเป็นการสิ้นสุดของสมัย 3 ประเทศยุคหลัง ยุติการทำสงครามระหว่างประเทศต่างๆ บนคาบสมุทรเกาหลี

สมัย โคริออ

โคริออ มีความมั่นคงและเป็นปึกแผ่นอย่างยิ่ง ในยุคนี้เอง ก็เริ่มทำการค้าระหว่างประเทศ ทำให้ โคริออ เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น และในการค้าขายกับคนต่างชาตินี้เองเป็นที่มาของคำว่า KOREA ( โคเรีย) เนื่องมาจากพ่อค้าชาวอาระเบียจะเรียก โคริออ ว่า โคเรีย
(ชาวตะวันตกเรียก ชาวเกาหลีว่า โคเรีย Korea ตามพ่อค้าชาวอารเบีย คนไทยออกเสียงตามภาษาจีน ทั้ง โคเรีย และเกาหลี มาจากอักษร จีนตัวเดียวกัน ไม่มีแป้น ภาษาจีน ให้ key ค่ะ)

( มีการเล่าถึงอาณาจักร โคริออ จากอีกแหล่งว่า

อาณาจักรโคเรียว (ค.ศ.918 - ค.ศ. 935)
ผู้ก่อตั้ง อาณาจักรโคเรียว วังกอน ซึ่งเคยเป็นนายพลของเจ้าชายผู้ก่อกบฏแห่งซิลลา ได้เลือกบ้านเกิดที่ซองโตปัจจุบันคือเมืองแกซอง เป็นฐานของอาณาจักรของตน โดยประกาศนโยบายที่จะนำดินแดนโคกูเรียวในแมจูเรียที่เสียไปคืน ดังนั้นจึงตั้งชื่ออาณาจักรว่า โคเรียว ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเกาหลีในปัจจุบัน
ในตอนเริ่มแรก ราชสำนักโคเรียวรับศาสนาพุทธมาปรับใช้เป็นศาสนาประจำรัฐ ศาสนาพุทธมีความเจริญรุ่งเรืองทำให้เกิดศรัทธาในการสร้างวัดและแกะสลักพระพุทธรูป เช่นเดียวกับการวาดภาพบนแผ่นโลหะหรือแผ่นไม้ แต่วัดและพระสงฆ์มีอำนาจในการปกครองอย่างเหลือล้น ต่อมาในปลายของอาณาจักร ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างขุนนางพลเรือนกับนักรบ และระหว่างผู้นับถือขงจื๊อกับศาสนาพุทธ ทำให้อาณาจักรอ่อนแอ มองโกลซึ่งเริ่มต้นรุกรานในปี ค.ศ.1231 ในที่สุดจึงยึดครองโคเรียวได้ในคริสต์ศตวรรษนี้

ที่มา: cyberlab มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จาก BYJtogether )

( หากใครดู ซีรี่ส์ ใน ทีวี เรื่อง เจงกีสข่าน ที่ ถ่ายทำ โดยจีนแผ่นดินใหญ่) จะพบว่า ในช่วง ค.ศ. 1200 ต้นๆ (1203) นี้ เตมูจิน กำลังต่อสู้ กับชนเผ่า มองโกลด้วยกัน อยู่ กำลังใกล้ จะรวม มองโกล เป็นหนึ่งเดียว แล้วหลังจากนั้น ก็จะเป็น เจงกีสข่านผู้ยิ่งใหญ่ บุกตะลุย ยึดดินแดน ต่างๆ จีน เกาหลี ไปทั้งยุโรป รัสเชียแล้ว สำหรับจีน น่าจะกำลังอยู่ในราชวงศ์ ซ่ง หรือซ้อง หลานชายของเจงกีสข่าน ก็ กุบไลข่าน แล้ว ก็ มาเกี่ยวพัน กับ อมตะ นิยายกำลังภายในจีน ของกิมย้ง มังกรหยก ภาค1 ก๊วยเจ๋ง นั่นเอง พันวันพัลเก อีรุงตุงนังเชียวนะคะ)

ก็พยายามเก็บข้อมูล มาให้อ่าน แล้วท่านผู้อ่าน ก็ใช้ วิชา data processing ให้ กับแต่ละท่านเองก็แล้วกัน

ข้อมูลเปิดประตูสู่เกาหลี โดย คิม โฮะ จุง ต่อนะคะ

ในช่วงศตวรรษที่ 12 -13 โคริออ ก็เกิดความไม่สงบทั้งจากปัญหาภายในประเทศ และการรุกรานของประเทศจีน จนใน คริสต์ศตวรรษ ที่ 14 โคริออ ก็ถูกนายพล ลีซองแก แม่ทัพของ โคริออ นำกองทัพเข้ายึดอำนาจ เพราะเห็นว่า กษัตริย์ อ่อนแอ ไม่สามารถปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขได้ จึงตั้งตนเป็นกษัตริย์ และเปลี่ยนชื่อประเทศ โคริออ เป็น โซซอน ตามชื่อประเทศแรก บนคาบสมุทรเกาหลี คือ โคโซซอน ( ซึ่ง ทันกุน วังค็อม เป็นผู้สร้าง เมื่อลงมาจากภูเขา แพคดูซัน)

สมัย โซซอน

เมื่อ โคริออ เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศ โซซอน นายพล ลีซองแกได้ย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่เมือง ฮันยัง (ซึ่งคือกรุง โซล ในปัจจุบันนี้ ) ในยุคนี้มีกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถหลายพระองค์ โดย เฉพาะ พระเจ้า เซ จง แด วัง ได้ ประดิษฐ์ อักษรเกาหลีที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

ในเวลาต่อมา โซซอน เริ่มอ่อนแอลง ญี่ปุ่นจึงเข้ามารุกรานและทำสงคราม กันเป็นเวลายาวนานถึง 7 ปี ในที่สุด โซซอน ก็ขับไล่ญี่ปุ่นออกไปได้ แต่ประเทศก็ประสบความเสียหายอย่างหนักอีกครั้ง
เมื่อหลายสิบปีต่อมา จีนก็เข้ามารุกราน โซซอน จนกษัตริย์ โซซอน ต้องขอทำสัญญายุติสงคราม

โซซอน ก็ว่างเว้นจากการทำสงครามไปอีกประมาณ 200 ปี


ในปี ค.ศ. 1860 เป็นต้นมา โซซอน ก็ถูกรุกรานจากประเทศ ตะวันตก คือ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และประเทศใกล้เคียง คือประเทศญี่ปุ่น ได้เข้ามาแทรกแซงทางการเมืองและยึด โซซอน ได้ในปี ค.ศ. 1910 หลังจากญี่ปุ่นยึดครอง โซซอน ชาว โซซอน ต้องการกอบกู้เอกราชกลับคืน มีการก่อตั้งองค์กรลับหลายองค์กร บรรดาผู้มีความรู้ต่างๆ สอนเยาวชนในโรงเรียน และหนังสือพิมพ์ เพื่อปลุกใจประชาชนให้กอบกู้เอกราช ทั้งยังมีกลุ่มคนที่ลี้ภัยอยู่ในจีน ได้จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นในจีนที่เมือง เซี่ยงไฮ้ จัดตั้งกองรบพิเศษทำการฝึกทหารไว้เพื่อรบกับญี่ปุ่น

เกิดการต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นทั่วทุกพื้นที่ใน โซซอน ยิ่งชาว โซซอนต่อต้านญี่ปุ่นมากเท่าใด ญี่ปุ่นก็กดขี่ข่มเหงชาวโซซอน อย่างทารุณมากขึ้นอีกเป็นหลายเท่า ทหารญี่ปุ่นลักพาตัวหญิงสาวไปเป็นโสเภณี บังคับให้ทุกโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่น และให้เปลี่ยนชื่อประเทศ เป็นชื่อญี่ปุ่น เพื่อทำลายขวัญและกำลังใจ แต่อิสรภาพและเอกราชของตนเอง เย้ายวนใจพวกเขามากกว่าการทารุณ ทำให้ชาวโซซอนยิ่งอยากได้กลับคืน เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1919 ชาวโซซอน รวมตัวกันขับไล่ญี่ปุ่น วันนั้นคือวัน ที่ 2 มิถุนายน 1919 ชาว โซซอน รวมตัวกันขับไล่ ญี่ปุ่น วันนั้นคือวัน ซัม-อิน- อุน -ดง

เหตุการณ์ครั้งนี้ นักศึกษา ประชาชน นับพันถูกฆ่าอย่างทารุณ

เหมือนชาว โซซอน ได้ตื่นขึ้นจากฝันร้าย เมื่อเมือง Nagasagi และ Hiroshima ของญี่ปุ่นถูกระเบิด ปรมาณู 2 ลูก จาก อเมริกา ญี่ปุ่นจึงแพ้สงครามในครั้งนี้ และถอนทัพ จาก โซซอน ด้วยเหตุนี้ โซซอน จึงประกาศเอกราช เมื่อ 15 ส.ค 1945

การตั้งสาธารณรัฐเกาหลี republic of Korea

เมื่อเกาหลีได้รับเอกราชจากญี่ปุ่นแล้ว ต้องเผชิญกับปัญหาอีกอย่างคือ การแตกแยกออกเป็น 2 ประเทศ ใน ค.ศ.1945 สาเหตุจากการยึดครองพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต ก่อนสงครามโลกครั้งที่2 จะสิ้นสุดลง สหรัฐอเมริกาได้ยึดครองพื้นที่ทางภาคใต้ ส่วนสหภาพโซเวียตได้ยึดครองพื้นที่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลี โดยขีดแบ่งเขตที่เส้น 38 องศา ใช้ข้ออ้างว่าเพื่อขับไล่ทหารญี่ปุ่นออกจากเกาหลีให้หมด

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง เกาหลีขาดผู้นำเป็นของตนเอง ในปี ค.ศ. 1948 ได้มีนักการเมืองหลายท่านออกมาสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศเพื่อจะเลือกหาผู้นำมาบริหารบ้านเมือง แต่เกิดความขัดแย้งกันระหว่างนักการเมืองทางตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศเรื่องสถานที่ และเวลา ในการจัดการเลือกตั้ง มีนักการเมืองบางท่านออกมาขอร้องให้ทั้งสองฝ่ายมาตกลงกันก่อนจัดการเลือกตั้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

ทางตอนใต้ของประเทศได้จัดให้มีการเลือกตั้งก่อน ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1948 นาย ลี ซังมิน ได้รับเลือกตั้งเป็นเป็นประธานาธิบดี ได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1948 พร้อมทั้งตั้งชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐเกาหลี (ภาษาเกาหลีเรียกว่า “แดะฮัมมินกุก” แปลว่า “ ประเทศที่ยิ่งใหญ่ ของชาวเกาหลี” มีแนวทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีกรุงโซล เป็นเมืองหลวง

ส่วนทางตอนเหนือของประเทศได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นโดยได้รับการช่วยเหลือจาก สหภาพโซเวียต นาย คิม อิลซอง เป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.1948 ตั้งชื่อประเทศว่า “ สาธารณรัฐประชาชนโซซอน” มีกรุง เปียงยางเป็นเมืองหลวง มีแนวทางการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์

ในที่สุดทั้งสองฝ่ายได้แบ่งเขตการปกครองที่เส้น 38 องศา เป็นเพราะความคิดและหลักการไม่ตรงกัน พร้อมทั้งอิทธิพลจากภายนอกนี้เองที่แยกเกาหลีออกเป็น สองประเทศ

เอ อย่างนี้ แล้ว เมื่อ ไรจะไปถึง กษัตริย์ องค์ ที่ 19 ทัมด๊ก กันละเนี่ย คุณ poo รอไปก่อนนะคะ...




Amornbyj : Writer

Copyright @ Amornbyj

*********************************************


Go-Joseon, or Old Korea (2333 - 206 BC), was the first Korean kingdom. According to legend, it was founded by Dangun in southern Manchuria in the basins of the Liao and Taedong Rivers.

Judging from Chinese records, the state of Go-Joseon as a political entity could be described as a kingdom (Chinese: 國; pinyin: guó) at least by the beginning of the 4th century BC. This roughly coincides with the advent of the Iron Age in Korea.

Go-Joseon went into a period of decline, but it was revived in the 2nd century BC as Wiman Joseon. Some Korean records combine Wiman Joseon, Gija Joseon, and the initial Go-Joseon as periods of one Go-Joseon.

Gija Joseon (around 300 BC - 194 BC or 1126 BC - 194 BC) was an ancient kingdom that succeeded Go-Joseon.

Gija Joseon
Revised Romanization Gija Joseon
McCune-Reischauer Kija Josŏn
Hangul 기자 조선
Hanja 箕子朝鮮

Gija was the paternal uncle of the last emperor of the Chinese Shang Dynasty, the tyrannical King Zhou. Gija was imprisoned by the tyrant until the downfall of Shang Kingdom, when King Wu of Zhou released him. Not wanting to be the subject of the Zhou Kingdom, Gija led 5,000 to present-day Korea and became the king of Joseon.

Whether Gija Joseon actually existed or not is a matter of great controversy; for some historians deny or ignore Gija because of nationalistic ideology. According to Samguk Yusa, Go-Joseon was established in 2333 BC. But Samguk Yusa doesn't provide much detail; and according to Gyuwon Sahwa, a historical record of Danguns and their periods of reign, Go-Joseon was ruled by 43 Danguns for 1195 years. The "lost period" between fall of Go-Joseon and Wiman Joseon makes it possible that Gija Joseon existed.

House Seonwu of Taewon of Korea has Book of Roots of House Seonwu of Taewon(태원선우씨세보, 太原鮮于氏世譜) which lists names of 41 rulers of Gija Joseon and their periods of reign.

Gija Joseon was succeeded by Wiman Joseon.

Wiman Joseon
From Wikipedia, the free encyclopedia.
Revised Romanization Wiman Joseon
Hangul 위만조선
Hanja 衛滿朝鮮

Wiman Joseon (194 BC - 108 BC) was the continuation of Go-Joseon, founded by Wiman.

Wiman was originally a refugee from the Chinese state of Yan. He succeeded in driving out King Jun of Go-Joseon and taking over the throne. He made the capital in Wanggeomseong (王險城), today's P'yŏngyang. Although cultually Sinicized, Wiman Joseon was not a colony of China.

Wiman Joseon expanded to control a vast territory and became strong economically by controlling trade between China's Han Dynasty and the outlying regions to the northeast. Feeling increasingly threatened by the growing Wiman Joseon, and fearing she would ally with the Xiongnu, Emperor Wu of Han China launched an attack on Wiman Joseon in 109 BC. After a year of battle, Wanggeomseong was captured and Wiman Joseon was destroyed. Han China established four commanderies in the captured areas, of which Lelang or Nangnang was the most important.

Bueyo (Chinese Fuyu)
From Wikipedia, the free encyclopedia.
Buyeo
Chinese characters 夫餘
Pinyin Fūyú
Korean Name Bueyo
Revised Romanization Buyeo
McCune-Reischauer Puyŏ
Hangul 부여
Hanja 夫餘

Fuyu (Buyeo) was an ancient ethnic group and its kingdom in northern Manchuria.

Their manners and customs were mostly recorded in Sanguo Zhi (Chronicles of the Three Kingdoms). The Fuyu were agricultural people who occupied the vastest plain in Manchuria. They already maintained a complex social structure. They named official titled after animals. Their capital was once considered to be Nong'an, Jilin Province but it would be near Harbin.

The origin of Fuyu is unknown but it seems to have already been known to China during the Warring States Period. Fuyu began to make frequent contacts with China via the Xuantu commandery during the Eastern Han Dynasty. Although it raided Chinese borderland in 111, Fuyu paid tribute to Eastern Han in 120 and in the next year dispatched Prince Weichoutai (尉仇台) to Xuantu to save it from Goguryeo's attack.

At the end of Eastern Han, Gongsun Du, a Chinese warlord in Liaodong, supported Fuyu to counter Xianbei in the north and Goguryeo in the east. After destroying the Gongsun family, the Kingdom of Wei sent Wuqiu Jian to attack Goguryeo. A squad of the third expeditionary force led by the Governor of the Xuantu commandery was welcomed by Fuyu. It brought detailed information of Fuyu to China.

Since then Fuyu had been torn between big powers until its final overthrow. In 285 the Murong tribe of the Xianbei, led by Murong Hui, invaded Fuyu, pushing King Yilü (依慮) to suicide. Considering its friendly relationship with Jin Dynasty, Emperor Wu revived Fuyu and installed King Yiluo (依羅). Goguryeo's attack sometime before 347 caused further decline. Lost its stronghold near Harbin, Fuyu moved southwestward to Nong'an. Around 347, Fuyu was conquered by Murong Huang of the Former Yan. King Xuan (玄) and his people were captured.

At the first downfall in 285, some people fled eastward to the land of Woju (沃沮) around modern-day Yanbian. It seems they who was called Eastern Fuyu by Goguryeo. They were invaded by King Gwanggaeto and may have been conquered by King Jangsu.

A part of Fuyu seems to have lingered around Harbin under the influence of Goguryeo. In fact Fuyu paid tribute to Northern Wei in 457. They were conquered by the rising Wuji (Mohe) in 494 and the royal family defected to Goguryeo.

Goguryeo and Baekje claimed that they were descendants of Fuyu. According to their legends, King Dongmyeong, the founder of Goguryeo, was a prince of Fuyu. Korean medieval history books say that Goguryeo was originally made of many chiefdoms, including Jolbon Buyeo(졸본부여, 卒本扶餘), the tribe of King Dongmyeongseong. Baekje officially changed its name to Nambuyeo (남부여, 南夫餘 "South Buyeo") in 538. It is well known the founder of Baekje, according to Samguk Sagi, King Onjo, the founder of Baekje, was a son of King Dongmyeong. Those titles suggest both Goguryeo and Baekje, two of the three kingdoms of ancient Korea, considered themselves as a branch or successor of Fuyu. So Korean historians consider Fuyu(Buyeo) as one of the ancestors of Koreans.

Source : http://www.chinahistoryforum.com/index.php?showtopic=1898&st=0

เล่าขาน ตำนานชนชาติเกาหลี ตอนที่ 1 ...by ...Amornbyj...

เล่าขาน ตำนานชนชาติเกาหลี

....เบื้องหลังการถ่ายทำ ละคร ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ ซึ่ง ตัวคนเล่าเองอ่อนแอ กับภาษาต่างประเทศ ส่วนการขึ้นภาพ ขึ้น คลิป VOD ก็ทำไม่เป็น เนื่องจาก เป็นคน Low tech ต้องรอ คุณ Roytavan หรือคุณ Kelly หรือคุณ Snowbyj แต่เพื่อไม่ให้ว้าเหว่ เวลาเพื่อนๆ มาหาแวะเยี่ยมเยียน Amornbyj ก็เลยขอทำงานในส่วนที่ตัวเองพอทำให้ได้ไปก่อน และเพื่อนๆหลายๆท่านก็อยากอ่าน เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ของเกาหลี โดยเฉพาะ คุณ Pagung คุณ Yimpan คุณ genbu เป็นต้น อาจจะเล่าไม่ตรงกับที่เพื่อนๆ อยากทราบ เพราะก็คงเล่าได้ตามวัตถุดิบที่มีอยู่เท่านั้น ( ประมาณ ว่า....ผลิตภัณฑ์ ต่างๆ ก็ผลิตได้ตาม วัตถุดิบที่มี น่ะค่ะ)
ถือว่าเล่าสู่กันอ่านสนุก ๆก็แล้วกันนะคะ เบื้องหลังครั้งนี้ ถอยหลังไปในอดีตกาล ก่อนการถ่ายทำละคร ยาวนานมากเลยทีเดียว หลายภพหลายชาติ กว่าจะมาถึง สมัยขององค์ชาย ทัมด๊ก
เป็นที่ทราบว่า ประวัติศาสตร์เกาหลี จริงๆ หาอ่านได้น้อยมาก เท่าที่ทราบมาที่ปรากฏอยู่ เป็นประวัติศาสตร์ ที่มาจาก จีนบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง แล้วก็นำมาแปลอังกฤษกัน แต่ตอนนี้ ทราบว่า เกาหลี มี Web เล่าประวัติศาสตร์ของตัวเองแล้ว และแน่นอนเป็น ภาษาอังกฤษ ถ้า ให้ Amornbyj นำมาเล่า ต้องใช้เวลา เป็น ปี ๆ ค่ะ ถึงจะเล่าได้ ก็เลยขอนำข้อมูล ที่มีอยู่แล้ว มาเล่า
คาบสมุทรเกาหลี เป็นคาบสมุทรเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปเอเชีย มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานกว่า 5 พันปี มีเรื่องราวชาติต่างๆก่อนที่จะมาเป็นประเทศเกาหลี ที่น่าสนใจ

เรื่องเล่าต่อไปนี้ เป็นข้อมูล ภาษาไทย ที่แปลมาจาก ภาษาเกาหลี คือหน้าหนังสือจะแบ่งครึ่ง ด้านซ้ายเป็นภาษาเกาหลี ด้านขวาเป็นภาษาไทย โดยในนิตยสาร บอกว่า เป็นข้อความที่ บันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์เกาหลี ชื่อ “ซัมคุกยูซา” จะนำมาเล่าให้อ่าน แบบคงชื่อ และข้อความ ตามนิตยสาร about Korea นะคะ ( ถ้าเป็น วงเล็บภาษาไทย คือ คนเล่า แทรกลงไปเองนะคะ) หากข้อมูล มีความขัดแย้งกับ ข้อมูลแหล่งอื่น ขอให้ถือ ว่า นี่เป็นเรื่องเล่าประเภท ตำนาน หรือ บทความของนักเขียนคนหนึ่ง ที่ Amornbyj ไปอ่านเจอ และนำมาถ่ายทอดต่อ ไม่ขอฟันธงว่า เป็น ประวัติศาสตร์ทั้งหมดนะคะ

ในสมัยโบราณมีกษัตริย์องค์หนึ่งในฟ้าสวรรค์ ชื่อ ฮวัน-อิน ( Hwan In) พระองค์ มีพระโอรส ชื่อ ฮวัน-อุง(Hwan-ung) ฮวัน-อุง ใคร่ครอบครองโลกมนุษย์ ปรารถนาที่จะลงมาบนโลกนี้

วันหนี่งกษัตริย์ ฮวัน-อิน เห็นว่าถ้าตั้งเมืองที่ ถูเขา แพ็กดูซัน จะเกิดประโยชน์ แก่มวลมนุษย์ จึงทรงประทาน ตราประทับ และผ้ากำยาน ซึ่ง แสดงถึงอำนาจของพระเจ้าให้แก่พระโอรสและอนุญาตให้ลงมาบนโลกนี้ ฮวัน-อุง พาเหล่าเสนาลงมา 3 พัน ( ไม่แน่ใจว่าจะใช้ ว่าคน หรือองค์ แต่ถ้ามาจากสวรรค์ ควรใช้คำว่าองค์ ) และตั้งเมืองที่ถูเขาแพ็กดูซัน ชื่อเมือง “ชินโด” แปลว่า “ เมืองแห่งพระเจ้า” และตั้งชื่อพระองค์เองว่า “ กษัตริย์ในสวรรค์ ฮวัน-อุง "

พระองค์ให้เหล่าเทพเจ้าควบคุม ฝน เมฆ ลม ดูแลมนุษย์ ในเรื่อง พืชที่เป็นอาหาร อายุ โรค การลงโทษ ความดี และความชั่ว นอกจากนี้ให้ควบคุม 360 เรื่อง ของมนุษย์ ทรงปกครองไพร่ฟ้าด้วยเมตตาธรรมเสมอมา

ในเวลานั้นมีหมีและเสือ อย่างละ หนึ่งตัว อาศัยอยู่ในถ้ำ มาทูลขอกับพระองค์ขอให้เป็นมนุษย์ พระองค์ ทรงประทาน ผักขมและกระเทียม ให้ พร้อมทั้งบอกว่า ถ้าเจ้ากินสิ่งนี้และไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ เป็นเวลา 100 วัน ก็จะเป็นมนุษย์ ( ความหมายคือ แปลว่าให้บำเพ็ญศีลอยู่ในถ้ำ ห้ามออกมา ล่าอาหาร หาอาหารไหมคะ )หมีและเสือ เข้าไปอยู่ในถ้ำ เสือ ทนไม่ได้ออกจากถ้ำไปก่อน หมี มีความอดทนกว่า กลายเป็นผู้หญิง หลังจากนั้น 21 วัน ได้ชื่อว่า “อุง-นิยอ” แปลว่าหญิงหมี ต่อมา อุง-นิยอ ใคร่ที่จะมีลูก แต่ไม่มีชายจะแต่งงานด้วย จึงไปอธิษฐานที่ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เสมอๆ ฮวัน-อุง สงสาร จึงแปลงกายเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่งงานกับหญิง อุง-นิยอ ( เพศหญิง เป็นเพศที่มีความอดทนเห็นไหมคะ สงสัยจริงๆว่า เสือ ตามตำนานตัวนั้นถ้าเป็นมนุษย์จะเป็นเพศอะไรหนอ)

ต่อมา อุง-นิยอ ได้คลอดบุตรชาย คนหนึ่ง ตั้งชื่อว่า “ ทัน-กุน-วัง-ค็อม” เมื่อ “ทัน-กุน “ เติบโตเขาได้ลงมาจากภูเขาแพ็กดูซันและสร้างประเทศชื่อ “ โคโซซอน “ ตั้งเมืองหลวง ที่เมือง “ อาซาดัล”

( ใน ละคร ตำนานจอมกษัตริย์เทพสวรรค์ จึงมี 3 เทพ คือ
อุนซา –มังกรนำเงิน เป็นเทพเจ้าแห่งเมฆ ปกป้องดูแล รักษาทิศตะวันออก มีเครื่องรางคือหัวหอก
พุงแบก – เสือขาว เป็นเทพเจ้า แห่งลม ปกป้องรักษาทางทิศตะวันตก มีเครื่องรางคือ โลหะ
อูซา – งูเต่าดำ เป็นเทพเจ้า แห่งฝน ปกป้องรักษา ทิศ เหนือ มีเครื่องรางคือไม้เท้า
ยังขาดทิศใต้ และ Amornbyj ขอสันนิษฐานแบบคิดเอาเองไม่ได้มีข้อสมมติฐานใดๆว่า บนสวรรค์ ไม่ต้องใช้ไฟ เลยไม่มีเทพเจ้าแห่งไฟ ฮวัน-อุง เลยต้องหาเทพนี้เองเป็นเทพที่สี่คือ
จูจัก หรือ ฟินิกซ์ เป็นเทพเจ้าแห่งไฟ คอยปกป้องรักษาทิศใต้ มีเครื่องราง คือจี้ทับทิม

นอกจากนี้ก็มี ชนเผ่า เสือ ชนเผ่าหมี มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ มีเมือง จูซิน รวมทั้ง มี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือดาบจูมง ที่กลายเป็น ธนูวิเศษได้ แต่ใน เรื่องเล่านี้ บอกว่า เป็นตราประทับและผ้ากำยาน)
(อันที่จริง มีการเล่าเรื่อง ทันกุน อยู่แล้ว ในตอนต้นๆของการเล่าเรื่องย่อ ละคร ตำนาน ฯ แต่เอามาเล่าซ้ำอีก เพราะข้อมูลมาจากคนละที่กัน ก็ขอให้ อ่านแบบเห็นความหลากหลาย ของข้อมูลก็แล้วกันนะคะ อันที่จริง รวมความแล้วก็คล้ายกัน เพราะเป็นตำนานจริงคงเป็นมาแบบนี้)

(ภูเขาแพ็กดูซัน ปัจจุบันอยู่ในจีน ค่อนไปทางรัสเซีย)

ทันกุนวังค็อม เมื่อลงมาจากภูเขา แพ็กดูซันซึ่งเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง สร้างประเทศ โคโซซอน ตั้งเมืองหลวงในสถานที่ที่ชื่อ อาซาดัล ปกครองตามความปรารถนาของพระบิดาคือ ฮวัน-อุง คือให้มนุษย์ทุกคนได้ประโยชน์กันอย่างถ้วนหน้า การปกครองแบบนี้เรียกว่า “ โฮง-อิก-อิน-กัน “

คำว่า “ทัน-กุน-วัง-ค็อม” เป็นชื่อเรียกของกษัตริย์ในประเทศ โคโซซอน คำว่า “ทันกุน” หมายถึงผู้นำทางศาสนา ส่วนคำว่า “วังค็อม” หมายถึงผู้นำทางด้านการเมือง “ ทัน-กุน-วัง-คอม” หมายถึงผู้ที่คุ้มครองการเมืองและการบูชา ในสมัยโคโซซอนมี ทันกุน ทั้งหมด 47 องค์

ทัน-กุน-วัง-ค็อม ได้ตั้งกฎหมายชื่อว่า “ กฎ 8 ข้อ “ และทำให้ประเทศพัฒนาขึ้นด้วยการผลิตเครื่องมือ จากเหล็ก ทองแดง ดังนั้นในก่อน คริสต์ศักราช ศตวรรษ ที่ 4 โคโซซอนได้เข้ายึดและปกครองเมือง โยริยอง (แผ่นดิน จีน) แมนจูเรีย ตลอดจนทางเหนือของคาบสมุทรเกาหลี โดยเอาเมือง โยริยอง เป็นศูนย์กลางทางด้านการทหาร ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาทองของโคโซซอน แต่ต่อมา ประเทศ โคโซซอน ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองจากสมัย “ทันกุน” โดยคนชื่อ “วีมาน” และในก่อน ค.ศ. 194 วีมานได้สร้างกำลังทหารไว้ บริเวณทางทิศตะวันตกของโคโซซอน และตั้งราชวงศ์ วีมาน ราชวงศ์วีมานได้สืบทอดบัลลังก์มาจนถึงกษัตริย์ วูกอ ผู้เป็นหลานชายของวีมาน แต่ก่อนปี ค.ศ. 108 โคโซซอน ล่มสลายโดยราชวงศ์ฮั่นในแผ่นดินจีน ซึ่งราชวงศ์ฮั่น เป็นราชวงศ์ที่ทำให้เผ่าเล็ก ๆ ในแผ่นดินจีนในสมัยนั้นได้รวมตัวกัน เป็นประเทศ
ฮั่น กลัวโคโซซอน จะเรืองอำนาจมากขึ้น จึงบุกรุกและล้อมกำแพง วังก็อม ทำให้โคโซซอนล่มสลาย

( ในละคร เรื่อง จูมง ที่เข้า มา ออนแอร์ ที่บ้านเรา จำได้ว่า มีตอนหนึ่ง ที่จูมง ไปได้ แผนที่เก่าแก่ ของเมืองโคโซซอน เมื่อจูมง กางแผนที่ออกดู จูมง บอกเหล่า ทหารคู่ใจว่า อาณาจักรของโคโซซอน ช่างกว้างใหญ่ไพศาล มากจริงๆ)


หลังจากที่ฮั่นได้ยึดครองโคโซซอน ฮั่นได้ตั้งฐานทัพ 4 แห่ง คือ อิมดุน ชินบอน ฮิยอนโด นังรัง และตั้งกฎ 60 ข้อ เพื่อปกครองโคโซซอน

เมื่อแรก โคโซซอนต่อสู้เก่ง แต่ระบบทางการเมืองของโคโซซอน มีปัญหาอย่างหนึ่ง คือ โคโซซอน ไม่ได้ ใช้ระบบการปกครองจากส่วนกลาง แม้ว่ามีกษัตริย์ แต่กษัตริย์ ไม่ได้ปกครองโดยตรง แต่ได้ตั้งหัวหน้ากองทัพให้ปกครองในเขตพื้นที่ของตน เรียกระบบนี้ว่า “ ระบบการร่วมมือ” ดังนั้นจึงทำให้แตกแยกกันง่าย ส่วนในประเทศฮั่นใช้ระบบอำนาจจากส่วนกลาง คืออำนาจทุกอย่างอยู่ที่กษัตริย์ ( จน กษัตริย์จูมงได้สถาปนา อาณาจักร โคคุริออ (โคคุเรียว) ก็ยังคงใช้ระบบนี้ เพิ่งมีการ เปลี่ยนแปลง ในสมัยของทัมด๊ก ซึ่งในละคร ได้กล่าวเล่าไว้ในตอน ที่ 22 ดังนี้
เมื่อถึงปราสาทโกกแน ทรงรวบรวมกองทัพทั้งสี่แคว้น เป็นกองทัพทั้งหมดของโคคุเรียว อยู่ภายใต้ กษัตริย์ ทรงรวบรวม ห้าแคว้น ให้มีการปกครองภายใต้การปกครองเดียวกัน และชำระกฎหมายให้เป็นหนึ่งเดียวภายในแคว้นต่างๆ และทรงนำเอาพระ ราโชวาท ของกษัตริย์ โซซูริม เพื่อเป็นผู้ปกครองที่ทรงอำนาจ ทรงทะนุบำรุงการศึกษา และให้มีสำนักปรัชญาเป็นแหล่งรวมความรู้ Taehak และ Kyongdang ผลิต ผู้มีความรู้ความสามารถ ในด้านต่างๆ )

ฮั่น ตระหนักว่า โจมตี โคโซซอนยาก จึงใช้วิธีทำให้เกิดความห่างเหินระหว่างหัวหน้ากองทัพกับลูกน้อง จึงนำชัยชนะมาได้อย่างง่ายดาย

ในประวัติศาสตร์เกาหลี “ โซซอนทันกุน” หมายถึงสมัยที่ สกุลทันกุนปกครอง และ”โซซอนวีมาน” หมายถึงสมัยตั้งแต่วีมานยึดอำนาจจนถึงล่มสลาย ชื่อประเทศ ดั้งเดิม ที่ ทันกุน สร้าง คือ โซซอน แต่เราเรียก โคโซซอน เพื่อแยกออกจากสมัยที่วีมานปกครองโซซอน คำว่า โค แปลว่าเก่า โคโซซอน คือสมัยที่ทันกุนวังค็อม จนถึงราชวงศ์สุดท้ายที่ทันกุนปกครองนั่นเอง

มีหลายแนวความคิดที่พูดถึงคนชื่อ วีมาน ว่าเป็นคนจากประเทศไหนที่เข้ามาแทนราชวงศ์ ทันกุน ถ้า วีมานเป็นคนจีนที่อพยพมาจากแผ่นดินจีน เรื่องราวของโซซอนวีมาน ก็กลายเป็นประวัติของจีน บางคนก็บอกว่า วีมาน น่าจะเป็นคนโซซอน ที่อพยพมาจากจีนเข้ามาในแผ่นดินโซซอน ซึ่งในขณะนั้นฮั่นรวบรวมเผ่าเล็กๆ ของแผ่นดินจีนให้เป็นประเทศ สามารถพบหนังสือโบราณได้ว่า เมื่อ วีมาน เข้ามาในโซซอน ทรงผมและชุดที่เขาสวมใส่เป็นแบบโซซอน และใช้ชื่อประเทศโซซอน เหมือนเดิม แทน ที่จะใช้ชื่อแบบจีน(ถ้าเขาเป็นคนจีน) และใช้ระบบข้าราชการแบบโซซอน ดังนั้นประวัติศาสตร์ทั้งเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ ยอมรับกันว่า วีมาน เป็นคนโซซอนแน่นอน เพราะสามารถดูได้จากการแต่งกายและการใช้ชื่อประเทศ ฉะนั้นเรื่อง โซซอนวีมาน จึงเป็นประวัติศาสตร์ของเกาหลีโดยไม่ต้องสงสัย หลังจากสมัยโซซอนวีมานได้ปิดฉากลง คาบสมุทรเกาหลีมีประเทศเล็กๆ เกิดขึ้นหลายประเทศ คือ บูยอ โคคุริออ โอกจอ โดงเย ซัมฮัน มีเรื่องราวพอสังเขป ดังนี้

1...บุกบูยอ

สร้างโดยคนชื่อแฮโมซู B.C . 239 บริเวณที่ บุกบูยอ ครอบครองคือ ทางเหนือของ แมนจูเรีย ต่อมา B.C 86 โดงบูยอ (ภาคตะวันออกของบูยอ) ได้แยกไปตั้งประเทศ ไม่นานนัก นัมบูยอ (ภาคใต้ของบูยอ) ก็แยกตัวออกเป็นประเทศเช่นกัน อาณาจักรบูยอ คือบูยอ ทั้งหมดดำรงถึงศตวรรษที่ 5 แต่ในปี 410 ต้องล่มสลาย โดยกษัตริย์ของโคคุริออ องค์ ที่มีพระนามว่า ควัง แก โท แด วัง
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 1. บูยอเป็นประเทศที่แข็งแกร่งกว่า โคคุริออ หนังสือชื่อ ซัมคุกจี ได้บันทึกไว้ว่า “พื้นที่อาณาจักรบูยอทั้งหมดมีถึง 2 พันลี้ เป็นประเทศที่มีพื้นที่ราบและกว้างที่สุดในประเทศแถบตะวันออก”

บูยอ มีระบบทางประเพณีที่น่ากลัวอย่างหนึ่ง เรียกว่า “ ซุนซังเจ” คือ เมื่อ เจ้านายหรือสามีตาย ก็ให้ฝังทาส และภรรยาพร้อมกับผู้ตาย (ฝังทั้งเป็น) เพราะคนบูยอเชื่อว่า มีโลกหลังความตายจึงต้องฝังทั้งครอบครัว เพื่อให้ไปปรนนิบัติรับใช้ต่อยังโลกหน้า ( ไม่พูดถึงลูกนะคะ คงไม่ฝังลูกด้วย แน่ๆ อย่างไรเสียต้องมีคนสืบต่อวงศ์ตระกูลนี่นา)

2.โคคุริออ

เมื่อ B.C. 37 โคคุริออ เป็นประเทศ ที่สร้างบริเวณแม่น่ำ โดงกากัง โดยคนชื่อ โค จูโมง ซึ่งอพยพมาจากโดงบูยอ (ภาคตะวันออกของบูยอ ข้อ 1.ค่ะ) เกาหลี เราเรียก โค จูโมง ผู้สร้างโคคุริออ ว่า โดงมียองวัง คำว่า โดงมียองวัง แปลว่ากษัตริย์นั่นเอง เช่นโดงมียองวัง รัชกาลที่ 1ของโคคุริออ คือ โคจูโมง

โค จูโมง เป็นคนประเทศโดงบูยอ อพยพมาที่ชลบนบูยอ เพราะเจ้าชาย ทั้ง 7 ของโดงบูยอ (ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือตรงไหน ของบูยอข้อ 1. คนแปลมาไม่เห็นกล่าวถึงอยู่ ๆ ก็เอ่ยถึง ชลบนบูยอ)
ต่อมา โค จูมง ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงของกษัตริย์ชลบนบูยอ คนที่ 2 แล้วเมื่อ กษัตริย์ชลบนบูยอ สิ้นชีวิต โคจูมงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนและเปลี่ยนชื่อประเทศใหม่จาก ชลบนบูยอ เป็น โคคุริออ โดยใช้สกุลตั้งชื่อประเทศ คือ โค

( เท่าที่เล่ามาถึงตรงนี้ ส่วนตัวแล้ว รู้สึกว่า คำว่า ประเทศ น่าจะใช้คำว่า อาณาจักร และเรื่อง ที่โคจูมงตั้งอาณาจักรโคคุริออ จากเรื่องของละคร จูมง มหาบุรุษกู้บัลลังก์ ดู สมจริงน่าเป็นไปได้ คำว่ากษัตริย์ ชลบนบูยอ น่าจะเป็นแค่ผู้นำ เผ่าหรือแคว้นมากกว่าไหมคะ ก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องเล่าของหนังสือ about Korea นะคะ นี่เป็นการเล่าไป บ่นไป สงสัยไป เท่านั้นเอง)

ประเทศโคคุริออ ได้พัฒนาเป็นประเทศที่เข้มแข็งมากที่สุดหลังจากที่บุกบูยอเสื่อมถอยลง โคคุริออ ชื่นชอบศิลปะการต่อสู้

และมีประเพณี อย่างหนึ่งเรียกว่า “เดริลชาวีเจ” คือ เมื่อลูกสาวแต่งงานก็จะพาสามีเข้ามาอยู่ในบ้านของพ่อแม่ของตน โดยจะต้องช่วยพ่อแม่ฝ่ายหญิงทำงานเช่น ทำนา ตาม ระยะเวลาที่ได้อยู่อาศัยกับพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ก็แล้วแต่จะตกลงว่าจะอยู่ที่นั่น กี่ปี หลังจากนั้นถึงจะกลับไปพักอาศัยยังบ้าน ของตนเอง

(คนเกาหลีค่อย ๆถอยร่นลงมาทางใต้เรื่อยๆ จาก โคโซซอน ที่อยู่เหนือสุด ร่นลงมาเป็นอาณาจักรบูยอ โคดุริออ อยู่ใต้ลงมาจากบูยอ ทั้งโคดุริออและบูยอ ปัจจุบันอยู่ในแผ่นดินจีนค่ะ แล้วร่นมาเป็นโอกจอ แล้วใต้สุด คือโดงเย ซึ่งต่อมาถูกรวมเป็นชิลลา และคือเกาหลีใต้ กรุงโซลในปัจจุบันนี้นั่นเอง )

3.โอกจอ

เป็นประเทศไม่มีกษัตริย์ปกครอง แต่จะมีผู้ปกครองท้องถิ่นแทน พื้นที่ของโอกจอคือมณฑล ฮัมคิยองโด ซึ่งเป็นแผ่นดินเกาหลีเหนือในปัจจุบัน
โอกจอเป็นดินแดนที่ อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก มีท้องทะเลอุดมด้วยสัตว์น้ำ มีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากทะเลเยอะมาก แต่โอกจอจะต้องถวายของบรรณาการให้แก่ โคคุริออ ทุก ๆ ปี
โอกจอเริ่มกลายเป็นแผ่นดินของโคคุริออ เรื่อยๆ ในที่สุดกษัตริย์ จางซูวัง( โอรสของกษัตริย์ ควังแกโท )
ได้เข้าปกครองโอกจอและรวบรวมโอกจอให้เป็นแผ่นดินเดียวกับโคคุริออ ทั้งหมด

โอกจอ มี ประเพณี “มินมิออนิรี” คือการพาเด็กผู้หญิงที่ต้องการให้เป็นลูกสะใภ้มาเลี้ยงดูที่บ้านจนเป็นผู้ใหญ่ แล้วจึงให้แต่งงานกับลูกชายของตน ( นี่เป็นประเพณี ดั้งเดิม ถ้าเป็นสมัยนี้ ที่บ้านเรา เรียกว่า เลี้ยงต้อยไหมคะ)

โอกจอ ปัจจุบันเป็นแผ่นแดน ของเกาหลีเหนือ

4. โดงเย

พื้นที่ของประเทศนี้คือมณฑล คังวอนโด ซึ่งคือประเทศเกาหลีใต้ในปัจจุบัน ประเทศ โดงเย ก็เป็นประเทศไม่มีกษัตริย์ปกครองเช่นเดียว กับ โอกจอ
โดงเยเป็นประเทศที่ ประกอบด้วยเผ่าหลายเผ่า ดังนั้นมีกฎห้ามโจมตีเผ่าอื่นที่เป็นพันธมิตร ถ้ากรณีที่โจมตีเผ่าอื่นที่เป็นพันธมิตร ผิดกฎ เผ่าที่ไปโจมตีเขาจะต้องชดเชยด้วยม้าหรือวัว

และทางภาคใต้ของโดงเย ภายหลังกลายเป็นแผ่นดินของประเทศ ซิลลา ตั้งแต่สมัยของกษัตริย์อาซาดัล รัชกาลที่ 8 ของซิลลา ส่วนภาคเหนือของ โดงเย กลายเป็นแผ่นดินของ โคคุริออ โดยการโจมตีของกษัตริย์ จางซูวัง และโดงเย มีกฎห้ามแต่งงานกับคนต่างเผ่า

โดงเย (ตอนใต้) ปัจจุบัน เป็นแผ่นดิน ของเกาหลีใต้

ปรากฏว่า หนังสือ about korea ประสบปัญหาเรื่องตัวแทนการจัดจำหน่าย จึงหยุดพิมพ์ ตั้งแต่เดือน พ.ค.49 ก็เลยได้ ข้อมูล ของประวัติ ชนชาติเกาหลีมาแค่นี้

แต่ ใน วิกิพีเดีย แบ่ง อาณาจักร ของ เกาหลีโบราณ ดังนี้

1.Gojoseon ในปี ก่อน ค.ศ 2333- ก่อน ค.ศ.108 แยกเป็น

1.1 Pre – Gojoseon (BCE 2333 - BCE 1128)

เริ่มต้นจาก Dangun Wanggeom ( ก่อน ค.ศ 2333-ก่อน ค.ศ 2240) เอ น่าตกใจนะคะ ลองลบปีท้าย-ปีเริ่มต้น เป็นตัวเลข 93 ปี นะคะ เอ๊ะ ช่างเป็นเหตุการณ์ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย กับ กษัตริย์ จางซูที่มีพระชนม์ 97 พรรษา ( ทันกุน วังคอม เป็นโอรส กษัตริย์ สวรรค์ ฮวัน-อุง) แล้วในละคร มาสื่อ กษัตริย์ จางซู เป็นพระโอรสสวรรค์ จาก ทัมด๊ก ( ก็ อวตารจาก ฮวัน-อุง นั่นเอง) นี่ เดจาวู จริงๆหรือ)
และมี ทันกุน ทั้งสิ้น 47 องค์ องค์สุดท้ายชื่อ Goyeolga ( BCE 1158- BCE 1128)

1.2.แล้วก็ มี Gija-joseon

( Controversy ว่ามีDangun Joseon was succeeded by Gija-joseon.but that is debatable )
มี กษัตริย์ อีก 41 องค์ ( 1126 BCE- 195 BCE )

1.3.มี Wiman joseon

มี กษัตริย์ อีก 3 องค์ จาก Wiman of Gojoseon , Son of Wiman, และ Ugeo of Gojoseon รวม 3 องค์ ในช่วง ปี ( 194 BCE-108 BCE )

2. Buyeo

เริ่มจาก Haemosu of Buyeo ( 239- 195 BCE) และมีกษัตริย์ต่อ อีก 3 องค์ รวมเป็น 4 องค์ สิ้นสุดราชวงศ์ ในปี 86 BCE

2.1 แล้ว เป็น Buk buyeo มีกษัตริย์ 2 องค์ จากปี 108-58 BCE

2.2 Dong Buyeo ( ในละคร จูมง คือ เมืองพูยอ สมัยนี้) ที่มี กษัตริย์ 3 องค์ คือ

Hae Buru of Dong Buyeo ( 86-48 BCE )
Geumwa of Dong Buyeo ( 48-7 BCE)
Daeso of Dong Buyeo ( 7 BCE - 22 CE)

3. Goguryeo ( 37 BCE -668 CE )

จาก ละคร จูมง เริ่มที่ กษัตริย์ องค์ ที่ 2 ของ Dong Buyeo คือ กษัตริย์ กึมวา ของ โดงบูยอ ต่อ ด้วย กษัตริย์ แทโช ของ โดงบูยอ ก็คือ ความเป็นมา ของเมือง พูยอ ใน ละคร จูมง มหาบุรุษกู้บัลลังก์ ที่สถานีโทรทัศน์ MBC ถ่ายทำละคร และ มาออนแอร์ ที่บ้านเรา ปีที่แล้ว คงไม่ต้องเล่า ถึงการที่ โคจูมง สถาปนา อาณาจักร โคคุริออ (โคคุเรียว) และต้องขับเคี่ยว กับทั้งกษัตริย์ กึมวา และ กษัตริย์ แทโช พระโอรส ของกษัตริย์กึมวา พวกเราก็ วาดจินตนาการประวัติศาสตร์ ของเกาหลี ตามละครก็แล้วกันนะคะ แต่มีข้อแตกต่างในประเด็น ที่ องค์ชาย พีริว และองค์ชาย ออนโจ โอรส ของราชินี ซอซอนโน ในละคร จูมง ทั้ง 2 องค์ ชาย ไม่ใช่พระโอรส ของ จูมง เป็น เพียง โอรส ติดพระมารดา ซอซอนโน มา มีพระบิดาจริง เป็นเพียงผู้คุมกองทหารของแคว้นเครุ แคว้นชาติกำเนิดของ ราชินี ซอซอนโน และบิดาของซอซอนโนท่านเสนาบดี ยอนทาบัล (ตามบทบาทของละคร จูมง ซึ่งในละคร จะสื่อว่า ยอนทาบัล และซอซอนโน เป็นผู้นำสูงสุด ของการรวมตัว ห้าแคว้น เช่น บีเริยว กวานโนและอื่นๆ บรรดาแคว้นเล็ก ๆ พวกนี้ รวมทั้งแคว้นเครุ รวมกัน แล้ว น่าจะเป็น อาณาจักร ชลบนบูยอ ไหมคะ)
องค์ชายยูริ เป็นพระโอรส กับชายา องค์แรกชื่อ เยโซยา ของจูมง ขณะที่มีศักดิ์เป็นองค์ชาย โอรสบุญธรรมของกษัตริย์กึมวา และเกิดพลัดพรากกัน จน รุ่นหนุ่ม ยูริตามหาพระบิดาจูมง พบ ราชินี ซอซอนโน เกรงเกิดปัญหา แย่งชิงบัลลังก์ โคคุเรียว จึงพาโอรส พีริวและออนโจ ไปสร้างเมืองใหม่ อยู่ทางใต้ลงไปจาก โคคุเรียว

จูมง เป็นปฐมกษัตริย์ ของ โคคุเรียว มีพระชนม์ 40 พรรษา (ครองราชย์ 37 BCE- 19 BCE )

จากวิกิพีเดีย ระบุ ว่า องค์ชาย Biryu และ องค์ชาย Onjo เป็น โอรส องค์ ที่ 2 และ 3 ของกษัตริย์จูมง ที่เกิดจาก มเหสีที่2 คือราชินี ชอซอนโน เมื่อ องค์ชาย Yuri ตามมาพบกษัตริย์ จูมง ที่โคคุเรียว และได้รับสถาปนา เป็นรัชทายาท องค์ชาย Biryu และองค์ชาย Onjo ที่ต่างพระมารดากัน เกรงความไม่ปลอดภัย จึง พากันออกจากอาณาขจักร โคคุเรียว มุ่งหน้าไปทางใต้ และได้ตั้งเมืองใหม่ 2 เมือง
โดย องค์ชาย พีริว คนพี่ สร้างเมืองที่ มิชูฮอล ( ปัจจุบัน คือ เมือง อินชอน ในเกาหลีใต้ ส่วน องค์ชาย ออนโจ สร้างเมืองที่ วิเรซุง ตั้งเมือง Sipje ปัจจุบัน อยู่ใกล้กรุงโซล ต่อมา เมื่อ องค์ชายพีริว สิ้นพระชนม์ องค์ชาย ออนโจ ได้ รวม มิชูฮอล และSipje เป็น อาณาจักร แพคเจ Baekje และย้ายเมืองหลวง ไปที่ south of Hanam Wiryeoseong เพราะ Wiryeoseong มีชายแดน ติดต่อ กับ Malgal
และเริ่มนับ การเป็นกษัตริย์ ของอาณาจักร แพคเจ ของกษัตริย์ ออนโจ ใน ปี 18 BCE- 29 CE)

ในวิกิพีเดีย เรื่องของ กษัตริย์จูมง ต่อนะคะ

เป็นที่กล่าวว่า จูมง เป็น บุตรชาย ของ HAE MOSU : ( the son of heaven ) และ พระมารดา Yuhwa : daughter of the river god Habaek ( ตำนานบอกว่า แฮมูซู พบ ยูฮวาที่ แม่น้ำ ในขณะที่ยูฮวา กำลังอาบน้ำ ,
But the river god disapproved of Hae mosu, who returned to heaven. The river god chased Yuhwa away to Ubalsu, where she met and became the concubine of King Geumwa of Dongbuyeo.

และ คำว่า Jumong มีความหมาย คือ “ Skilled archer “ (ผู้เชี่ยวชาญการยิงธนู) in Korean

เมื่อ จูมง เป็นกษัตริย์ After the death of his father in-law ( คือ พ่อของ So- Seo-No ) in 37 BC.
Jumong became the 7 th Dangun of Bukbuyeo and reunited of the five tribes of Jolbon into one centralized kingdom. ( แสดง ว่า รวม Buyeo และ Buk Buyeo เป็นอาณาจักรเดียวกัน กษัตริย์จูมงถึงถูกนับ เป็น Dangun องค์ ที่ 7 แต่ Dong Buyeo แยกคนละอาณาจักรกัน)

And the first King of Goguryeo.

In 37 BC.,Jumong established Goguryeo, and became its first Taewang ( “ supreme King “ )

กษัตริย์ จูมง สิ้นพระชนม์ในปี ก่อนคริสต์สศักราช 19 ด้วยพระชนม์ 40 พรรษา รัชทายาท ยูริ ได้ฝังพระศพของพระองค์ ที่สุสาน ปิรามิด *** และถวายพระนามพระองค์ว่า Chumo-seong wang

อาณาจักรโคคุเรียว ของกษัตริย์ จูมง เป็นอาณาจักรใหญ่ ที่มีอำนาจ และเข้มแข็ง มีอายุยืนยาว 705 ปี มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น 28 พระองค์ ในราชวงศ์ สกุล Go และล่มสลาย เพราะ ชิลลา ร่วมมือกับ ราชวงศ์ถังของจีน
และต่อมาเกิดอาณาจักร Balhae ( ปี ค.ศ. 669 - ค.ศ. 926 ) ก่อตั้ง โดย Dae Jung –sang ซึ่งเกิด ใน Goguryeo ซึ่งล่มสลายใน ปี ค.ศ. 668

ขอแบ่งเล่า เป็น ตอน ๆ แล้วกันนะคะ


****มีรูป สุสาน ของกษัตริย์ กวางแกโท มหาราช ที่ขุดค้นพบในประเทศจีน เป็นรูปทรง ปิรามิด เหมือนกันกับที่ วิกิพีเดียกล่าวว่า รัชทายาท ยูริ ฝังพระศพ กษัตริย์ จูมง ในสุสานทรงปิรามิด

จากกรณี เขาพระวิหาร ชนวนหนึ่งของการอภิปรายรัฐบาล เมื่อวันสองวันนี้ ทางทีวี ช่อง 9 ได้นำสารคดี กรณีที่จีน ได้ ยื่นขอนำสุสาน กษัตริย์ กวางแกโท มหาราช จดทะเบียน มรดกโลก อันดับที่ 28 และเกิดความขัดแย้งกับ เกาหลี และส่งผลกระทบความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ ของ ทั้ง 2 ประเทศ และส่งผลมากมาย มาที่ละคร TWSSG หรือ The Legend ในขณะถ่ายทำด้วย สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 มีการนำภาพภายในสุสานซึ่ง มีภาพวาด ของกษัตริย์ และอื่นๆ มาถ่ายทอด ด้วย น่าเสียดาย ที่ถ่ายทอด ตอนบ่าย จัด ๆ ของ วัน ทำงานรู้สึกว่าจะเป็นวันศุกร์ ที่ 27 /06/08
ยังไม่มีเวลา ไปรื้อค้นถึง การที่ มีประเทศ ต่างๆ สร้างสุสานกษัตริย์เป็นปิรามิด กัน คงต้องมีที่มาที่ไป ของรูป ทรงปิรามิด ทั้ง อิยิปต์ มายา และอื่นๆ กลายเป็น มีที่เกาหลี อีกด้วย เพื่อน ๆ ท่านใด มีข้อมูล กรุณา เล่าสู่กันอ่านนะคะ ขอขอบคุณล่วงหน้า ค่ะ
และขออภัย ที่ การเล่าเรื่อง มีการ นำละคร มาสื่อ คงไม่ทำความสับสนนะคะ อย่างไร เสีย ละคร ก็คือละคร

Gojoseon

Gojoseon (c.2333 - 108 BCE) was the first Korean kingdom. It is said to have been founded by Dangun in 2333 BCE, although the foundation years are various among the historians.[1]. Bronze age archaeological evidence of Gojoseon culture is found in northern Korea and southern Manchuria. By the 4th century BCE, various historical and archaeological evidence shows Gojoseon was a flourishing state and a self-declared kingdom.
The Annals of the kings are recorded in
Gyuwon Sahwa (1675), which is described by its author as a collection of nationalistic legends. The Hwandan Gogi (1979), a controversial text whose authenticity is widely questioned, lists different years of reign.
Source from wikipedia

Amornbyj : Writer

Copyright @ Amornbyj

*********************************************



Creation Myth

This is the story of the creation of the Korean people.

Dangun's (단군; 檀君 ancestry begins with his grandfather Hwanin (환인; 桓因;), the "Lord of Heaven" (a name which also appears in Indian Buddhist texts). Hwanin had a son Hwanung who yearned to live on the earth among the valleys and the mountains. Hwanin chose Mount Taebaek (태백산; 太伯山) for his son to settle down in and sent him with 3,000 helpers to rule the earth and provide humans with great happiness. Hwanung descended to Mount Taebaek and founded a city, which he named Sinsi (신시; 神市), or "City of God." Along with his ministers of clouds, rain, and wind, he instituted laws and moral codes and taught the humans various arts, medicine, and agriculture.

A tiger and a bear living in a cave together prayed to Hwanung to become human. Upon hearing their prayers, Hwanung called them to him and gave them 20 cloves of garlic and a bundle of mugwort. He then ordered them to only eat this sacred food and remain out of the sunlight for 100 days. The tiger shortly gave up and left the cave. However, the bear remained and after 21 days was transformed into a woman.

The bear-woman (Ungnyeo; 웅녀; 熊女) was very grateful and made offerings to Hwanung. She lacked a husband, however, and soon became sad and prayed beneath a sandalwood tree to be blessed with a child. Hwanung, moved by her prayers, took her for his wife and soon she gave birth to a son, who was named Dangun Wanggeom (단군 왕검; 檀君王儉).

Dangun ascended to the throne in the 50th year of the reign of the Emperor Yao (a legendary Chinese sage Yao), the year of Gengyin, built the walled city of P'yŏngyang, and called the kingdom Joseon. He then moved his capital to Asadal on Mount Baegak (or Mount Gunghol). 1,500 years later, in the year Kimyo, King Wu of the Zhou Dynasty enfeoffed Jizi to Joseon, and Dangun moved his capital to Jangdangyeong. Finally, he returned to Asadal and became a mountain god at the age of 1,908.


I'll just start off with a brief overview of Korean history and a list of rulers of major kingdoms...and if ya'll like it i'll go nation by nation next...maybe...So basically Wikipedia copy and paste with me making notes here and there adding in stuff...usually when you see * it's me...hope this is helpful to someone...

...Korean History Summary...

Prehistory

Archaeological evidence shows that people were living in Korea during the Palaeolithic period. The physical culture found in these relics is largely identical with that in finds in Manchuria and Mongolia.

Ancient history

According to a classic legend, Korea's first large social civilization, Go-Joseon (고조선; 古朝鮮), was founded by the man-god Dangun (Tangun) in 2333 BC. Go-Joseon is considered the first Korean kingdom. The name originally used was Joseon, but later historians started calling it Go-Joseon, or "old Joseon", to distinguish it from the later Wiman Joseon and Gija Joseon (see below). The legend claims that the kingdom was founded by Dangun in southern Manchuria in the basins of the Liao and Daedong Rivers.

According to other ancient transcripts, a kingdom called Gija Joseon was established in 1122 BC, when a Chinese exile Jizi (Gija) led 5,000 followers to the mountainous peninsula and founded the kingdom by merging with existent populations. Historians are still debating the exact order of events. Go-Joseon was later revived as Wiman Joseon, which lasted until 108 BC. It has become common to refer to Wiman Joseon, Gija Joseon and the initial Go-Joseon as parts of a longer Go-Joseon period, this time to distinguish them from the later Joseon Dynasty.

Various chiefdoms

After the fall of Go-Joseon, many different minor chiefdoms arose in Manchuria and the Korean peninsula. Okjeo and Dongye were located on the eastern coast of modern-day North Korea, and Buyeo was in Manchuria. Okjeo, Dongye, and Buyeo were later conquered by Goguryeo.

In the southern part of the peninsula, three different confederate of chiefdoms existed: Mahan, Jinhan, and Byeonhan. According to Later Book of Han, Mahan contained 54 states, Jinhan and Byeonhan contained 14 each.

Among those chiefdoms, Baekje arose in Mahan and Silla in Jinhan. Mahan and Jinhan were gradually conquered/absorbed by Baekje and Silla. Byeonhan became Gaya.

Chinese commanderies

After Emperor Han Wudi of China's victory over Wiman Joseon (108 BC), the Chinese established four commanderies: Lelang (樂浪)(Korean: Nangnang), Xuantu (玄菟) (Korean: Hyeonto), Zhenfan(真番) (Korean: Jinbeon), and Lintun (臨屯) (Korean: Imdun). Some sources such as [1] (http://www.chinaknowledge.de/History/Han/han-event.html) indicate that a fifth commandery named Bohai (渤海) (Korean: Balhae) was also established, not connected with the later Bohai kingdom. These commanderies held military control over much of Manchuria and part of northern Korea.

The Mahan and Jinhan confederations reconquered three of the commanderies shortly after they were established. They took the Zhenfan commandery and the Lintun commandery in 82 BC. The Xuantu commandery fell in 75 BC (Yang, 1999, p. 41). However, the Lelang commandery survived.

After the Han dynasty perished, the Gongsun clan still ruled some of the commandery area and parts of Southern Manchuria, yet soon their territories were conquered by the kingdom of Wei. Under the Jin Dynasty, the Chinese rule still was present, but since it was a weak dynasty, the Xianbei, Tungus or proto-Mongol nomads took advantage of the situation, creating their own Yan kingdom (not the Yan of the Warring States era).

Goguryeo's conquest of the Lelang commandery in 313 AD marked the end of direct Chinese rule on the Korean peninsula, and the beginning of Goguryeo's rise as a major regional power.

The commanderies were known for their strong cultural influence on Korea. The Chinese occupation of Northern Korea influenced the Southern "Han" tribes and even the Three Kingdoms era. In particular, the Chinese presence is often credited with bringing Confucian scholarship and Chinese script to Korea. Goguryeo set up the first Korean school of Confucian learning in the 4th century AD.
[edit]

Three Kingdoms (三國時代/삼국시대)

Main article: Three Kingdoms of Korea

Silla (or Shilla), Goguryeo, and Baekje are called the Three Kingdoms. The confederacy of chiefdoms called Gaya occupied much of the Nakdong River valley until conquered by Silla in 562.

Goguryeo first founded a kingdom in Southern Manchuria in 37 BC, and expanded into North Korea by occupying the Chinese commandery at Pyongyang in the fourth century. The kingdom was at its zenith in the fifth century when occupying the Liaodong Plains in Manchuria and today's Seoul area. The Goguryeo kings controlled not only Koreans but also Chinese and other Tsungusic tribes in Manchuria and North Korea. Since the establishment of the Sui Dynasty in China, the kingdom continued to suffer from Chinese invasion until conquered by the allied Silla-Tang forces in 668.

The origin of Baekje is still controversial, but the kingdoms of Goguryeo and Baekje had similar ethnic and linguistic backgrounds and the kingdom was firmly established in the southwest of the Korean Peninsula with its capital at Seoul by the fourth century. Driven by Goguryeo, the kingdom moved its capital southwards to Gongju, and then to Buyeo. Culturally Baekje introduced Chinese civilization through its relationship with the Southern Dynasties in China. Baekje was fundamental in implanting high civilization, including Chinese characters and Buddhism, into ancient Japan with which the kingdom sustained friendly relations all the time. The kingdom of Baekje was conquered by the Silla-Tang forces in 660.

The remaining material culture from the kingdom of Silla including unique gold metalwork shows influence from the northern nomadic steppes, differentiating it from the culture of Goguryeo and Baekje where Chinese influence was more pronounced. Silla expanded rapidly by occupying Seoul and annexing Gaya in the sixth century. Goguryeo and Baekje responded by forming an alliance. To cope with invasions from Goguryeo and Baekje, Silla deepened its tributary relations with the Tang Dynasty, with her newly-gained access to the Yellow Sea making direct contact with the Tang possible. After the conquering of Goguryeo and Baekje with her Tang allies, the Silla kingdom drove the Tang forces out of the peninsula and occupied the lands south of Pyongyang.

Balhae (or Barhae) (발해) period

The state of Balhae (also written Bohai or Pohai in Roman text) was founded in the former lands of Goguryeo by Dae Joyeong. Balhae controlled the northernmost areas of the Korean Peninsula, parts of Manchuria (but not the Liaodong Peninsula), and expanded into the region which is today's Russian Maritime Province. Balhae styled itself as Goguryeo's successor state. It also modelled itself on the Tang Empire, for example in the layout of its capitals.

In a time of relative peace and stability in the region, Balhae culture flourished, especially during the long reign of the third king, Mun Wang (r. 737-793). Like Silla culture, the culture of Balhae was strongly influenced by Buddhism. However, Balhae was severely weakened (many presume in-fighting) by the tenth century, and the Khitan Liao Dynasty conquered Balhae in 926.

No historical records from Balhae have survived, and the Liao left no histories of Balhae. Goryeo (see below) absorbed some Balhae territory and received Balhae refugees, including the royal family, but compiled no known histories of Balhae either. The Samguk Sagi, for instance, includes passages on Balhae, but does not include a dynastic history of Balhae (as it does of the Three Kingdoms). The eighteenth century Joseon historian Yu Deukgong was probably the first to advocate the proper study of Balhae as part of Korean history, and it was he who coined the term "North-South Period" to refer to the era when Silla and Balhae existed side by side.
[edit]

Goryeo (高儷/고려) Period

The kingdom of Goryeo was founded in 918 and replaced Silla as the dominant power in Korea in the years 935-936. ("Goryeo" is a short form of "Goguryeo" and the source of the English name "Korea.") The kingdom lasted until 1392. During this period laws were codified, and a civil service system was introduced. Buddhism flourished, and spread throughout the peninsula. In 1231 the Mongols invaded Korea and after 25 years of struggle the royal family surrendered by signing a treaty with the Mongols. For the following 100 years the Goryeo ruled, but under the control of the Mongols.

Joseon (朝鮮/조선) Period

Main article: Joseon Dynasty

In 1392 a Korean general, Yi Seonggye, was sent to China to campaign against the Ming Dynasty, but instead he allied himself with the Chinese, and returned to overthrow the Goryeo king and establish a new dynasty. The Joseon Dynasty moved the capital to Hanseong (formerly Hanyang; modern-day Seoul) in 1394 and adopted Confucianism as the country's official religion, resulting in much loss of power and wealth by the Buddhists. During this period, the Hangul alphabet was introduced by King Sejong in 1443.

Joseon (as Korea was called during the Joseon Dynasty) dealt with invasions by Japan from 1592 to 1598 (see Seven-Year War). Korea's most famous military figure, Admiral Yi Sun-sin was instrumental in defeating the Japanese. After the invasions from Manchuria in 1627 and 1636, the dynasty submitted herself to the Qing Empire. On the other hands, Korea permitted the Japanese to trade at Pusan and sent missions to the capital of Edo in Japan from time to time. Europeans were never permitted to trade at Korean ports until the 1880s.

Domestic politics was plauged by internal power struggles among Confucian bureaucrats. In spite of some efforts to introduce Western technology through the Jesuit missions at Beijing, the Korean economy remained backward due to weak currency circulation. Peasants, suffering from famine and exploitation, often fled the country into Manchuria.